Part of Speech – แกรมม่าต้องรู้ก่อนสอบ TOEIC

สรุป part of speech มาไว้ในบทความเดียว

Admin

Table of Contents

Part of Speech คืออะไร

ในภาษาอังกฤษ คำ คือ หน่วนที่เล็กที่สุดของภาษา ซึ่งสามารถแบ่งประเภทของคำตามหน้าที่ในประโยคโดยหลักๆ แบ่งได้ 8 ประเภทคือ 

  1. Noun
  2. Pronoun
  3. Verb
  4. Adjective
  5. Adverb
  6. Preprosition
  7. Conjuction
  8. Interjection

ในบทความนี้จะอธิบายหน้าที่ และหลักการของแต่ละชนิดของคำอย่างละเอียด

Noun

Noun หรือ คำนาม เป็นคำที่เอาไว้ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งชอง ตัวอย่างของนามเช่น

  • ชื่อคน (Alex, Jane, Peter)
  • อาชีพ (pilot, teacher)
  • ชื่อสัตว์ (dog, cat)
  • คนในครอบครัว (mother, sister)
  • ชื่อสถานที่ (Bangkok, shopping mall, restaurant)

Noun สามารถแบ่งได้เป็นสองประเภท คือ countable noun(นามนับได้) และ uncountable noun(นามนับไม่ได้)

ประเภทของ Noun

countable noun

คำนามที่นับได้ เป็นสิ่งที่เราสามารถแยกได้เป็นอันหรือเป็นตัวอย่างชัดเจน หากมีการแตกหักแย่งครึ่งก็ไม่สามารถนับของสิ่งนั้นเป็นสองชิ้นได้ แต่ของชิ้นนั้นจะเสียหายไปเลย

เช่น chair เก้าอี้ หากเราหักเก้าอี้เป็นสองส่วนก็ไม่ได้ทำให้เรามีเก้าอี้สองตัว

นี่เป็นข้อสังเกตเวลาดูว่านามอันไหนเป็นนามนับได้ หรือนับไม่ได้

จำไว้ว่า คนและสัตว์เป็นนามนับได้เสมอ ไม่ว่าสัตว์จะเล็กแค่ไหนก็ตาม เช่น ant และ worm ก็ยังถือว่าเป็นนามนับได้เสมอ

uncountable noun

คำนามนับไม่ได้ หากเป็นสิ่งของก็จะเป็นสิ่งของที่เป็นผง, เป็นของเหลว, เป็นของเละๆ ที่ขึ้นรูปไม่ได้, เป็นเม็ดหรือเป็นเส้นเล็กๆ ที่นับยาก เช่น powder, sand, salt, water, milk, juice, rice, hair เป็นต้น

สิ่งของที่ขึ้นรูปมาจากสิ่งที่เป็นผงหรือของเหลวก็เป็นนามนับไม่ได้เหมือนกัน เช่น chalk, paper, chocolate, ice, bread, ice-cream, cake, pasta 

ยกตัวอย่าง chocolate เราสามารถขึ้นรูป chocolate เหลวหนึ่งชามเป็นขนมกี่ชิ้นก็ได้ ชิ้นเล็กใหญ่แค่ไหนก็ได้ เป็นรูปทรงอะไรก็ได้หักออกจากกันก็เพิ่มจำนวนชิ้นได้ ของที่เป็นแบบนี้จะเป็น นามนับไม่ได้

หากต้องการนับของที่เป็นนามนับไม่ได้จะต้องใส่หน่วยการชั่ง ตวง วัด ให้มัน เช่น

  • a carton of milk
  • a cup of tea
  • a bar of chocolate
  • a loaf of bread
  • a piece of cake

นอกจากนี้คำนามที่เป็นนามธรรมก็เป็น นามนับไม่ได้ เช่น ethic, knowledge, money

ถ้าเป็นภาษาไทยคำที่ขึ้นต้นด้วย “การ” และ “ความ” ก็เป็นามนับไม่ได้เช่น infection(การติดเชื้อ), service(การบริการ), swimming(การว่ายน้ำ), drinking(การดื่มน้ำ), hope(ความหวัง)

ตำแหน่งของ Noun ในประโยค

คำนาม สามารถเป็น ประธาน(subject) และเป็นกรรม(object) ของประโยคได้

  • คำนามที่อยู่ต้นประโยค (ทำหน้าที่เป็นประธาน) เช่น The boss likes Scott very much. ประโยคนี้ คำนามที่เป็นประธานคือ boss คำนามที่เป็นกรรมคือ Scott
  • คำนามตามหลัง adjective เสมอ พูดง่ายๆ คือ ถ้ามี adjective ต้องมีนามตามหลัง เช่น cheap car (cheap เป็น adjective ส่วน car เป็นคำนาม)

  • คำนามอยู่หลัง preposition เสมอ เช่น He is looking for Scott. ประโยคนี้ for เป็น preposition Scott เป็นคำนาม

  • คำนามจะต้องตามหลัง article (a, an, the) พูดง่ายๆ คือ ถ้ามี article ต้องมีคำนามเสมอ เช่น a car, an apple

  • คำนามตามหลัง possessive adjective และ ‘s พูดง่ายๆ คือ อะไรที่แสดงความเป็นเจ้าของตามหลังด้วยคำนาม เช่น my car, your house, Scott’s umbrella

สิ่งที่ต้องระวังในการใช้ Noun

สิ่งที่ต้องระวังสำหรับคนไทยคือเรื่องของ singular/plural เนื่องจากภาษาไทยไม่มีผัน noun เมื่อเป็นรูปพหูพจน์ ทำให้เรามักลืมจะผัน noun เวลาใช้ภาษาอังกฤษ

เช่น There were many person in the party. คำว่า many แปลว่ามีมากกว่าหนึ่ง แต่ประโยคนี้เลือกใช้ person ที่เป็นรูป singular(รูป plural ของ person คือ people) ทำให้ประโยคนี้ผิดแกรมม่า

นอกจากนี้กฏการผัน singular ไปเป็น plural  โดยทั่วไปจะสามารถผันโดยเติม s หรือ es แต่บางคำก็จะเปลี่ยนคำไปเลยเช่น child เป็น children

วิธีที่ดีที่สุดคือต้องท่องจำ และต้องใช้คำศัพท์ และการผันบ่อยๆ จะทำให้เราจำหลักการเหล่านี้ได้ดีขึ้น

Pronoun

Pronoun (คำสรรพนาม) คือ คำที่ใช้เรียกแทน noun ในภาษาอังกฤษมี pronoun อยู่เพียง 7 ตัวเท่านั้นคือ I, You, We, They, He, She, It แต่จะผันไปตามหน้าที่ในประโยค

ความหมายของ pronoun แต่ละตัว

  • สรรพนามบุรุษที่ 1 : หมายถึง ตัวคนที่พูดประโยคนั้น
  • สรรพนามบุรุษที่ 2 : หมายถึง คนที่ฟังบุรุษที่ 1 พูด
  • สรรพนามบุรุษที่ 3 : หมายถึง คนที่บุรุษที่ 1 กล่าวถึง

I = สรรพนามบุรุษที่ 1 หากเราพูดคนเดียว

We = สรรพนามบุรุษที่ 1 หากเราพูดประโยคนั้นในฐานะของคนหลายคน หรือในฐานะขององค์กรเช่น We, the board comitte, would like to make some announcement. ในที่นี้ผู้พูดก็พูดในฐานะของคณะกรรมการบริษัทเป็นต้น

You = สรรพนามบุรุษที่ 2 

He/She = สรรพนามบุรุษที่ 3 หากเรากล่าวถึงบุคคลอื่นในบทสนทนา และพูดถึงคนนั้นเพียงคนเดียว เช่น เราจะเล่าเรื่องพี่สาวของเราให้เพื่อนฟัง เราสามารถเรียกพี่สาวเราได้ว่า She แทนคำว่า My sister ได้

It = สรรพนามบุรุษที่  3 ที่ไม่ใช่คน 

They = สรรพนามบุรุษที่ 3 They จะพิเศษกว่าคำอื่นๆ เพราะสามารถใช้ได้ทั้งคน สัตว์ สิ่งของ พูดง่ายๆ ก็คืออะไรก็ตามที่อยู่เป็นกลุ่มๆ หรือเราต้องการเรียกรวมๆ ของทุกอย่าง ก็สามารถใช้ They ได้เลย

ชนิดของ Pronoun

Subject คือ pronoun ที่ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น They like to be surrounded by people.

Object คือ pronoun ที่ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค เช่น Have you told her about our trip next week.

Possessive Adjective คือ pronoun ที่แสดงความเป็นเข้าของ แต่จริงๆ แล้วทำหน้าที่เป็น adjective ดังนั้นจะต้องตามด้วย noun เสมอ เช่น Her sister will be joining us today.

Possessive pronoun คือ pronoun ที่แสดงความเป็นเจ้าของ แต่ไม่ต้องตามด้วย noun เพราะตัวมันเองสามารถใช้แทน noun ได้ เช่น These books are mine.

Reflexive pronoun เป็น pronoun ที่ทำหน้าที่สองแบบ คือ

  1. ทำหน้าที่เหมือน adverb เป็นการบอกว่าทำสิ่งๆ นั้นด้วยตัวเอง เช่น Rebecca fixed the washing machine by herself. herself ในที่นี้หมายถึงตัว Rebecca เอง
  2. ทำหน้าที่คล้ายกับ object หากใช้ในความหมายเชิงทำกับตัวเอง กล่าวคือ ประธาน และกรรมของประโยคเป็นคนเดียวกัน  เช่น I hurt myself trying to lift too much weight. “ฉันทำตัวเองเจ็บจากการพยายามยกน้ำหนักที่มากไป”

ตารางแสดงการผัน pronoun ตามหน้าที่ในประโยค

ตำแหน่งของ pronoun ประโยค

ตำแหน่งของ pronoun ในประโยคขึ้นอยู่กับหน้าที่ของ pronoun นั้นๆ

  • หากทำหน้าที่เป็น subject ก็จะเป็นคำแรกของประโยค
  • หากเป็น object ก็จะอยู่หลัง verb 
  • หากเป็น posessive Adj จะอยู่หน้าคำนาม
  • หากเป็น posessive pronoun จะอยุ่ในตำแหน่งเดียวกับคำนาม
  • หากเป็น reflexive pronoun จะอยู่หลังกิริยาเพื่อบอกว่ามาขยายกิริยาตัวไหน

Verb

ในภาษาอังกฤษ Verb(คำกริยา) มีอยู่ 2 ประเภท คือ กริยาที่ต้องการกรรม(transitive verb) และกริยาที่ไม่ต้องการกรรม(intransitive verb)

วิธีดูว่าคำไหนต้องการกรรมหรือไม่ สามารถดูได้ใน dictionary มักจะมีตัวย่อว่า tv และ iv

การผัน verb ในภาษาอังกฤษ

สิ่งที่เราไม่ค่อยชินกับ verb คือ verb มีการผันรูป ซึ่งภาษาไทยนั้นไม่มี ซึ่งการผันรูปของ verb นั้นจะผันตาม 2 สิ่ง

ผันตาม Subject

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การใช้ verb to be ที่ต้องผันตามประธานของประโยค โดยเลือกให้ is am หรือ are ตามประธาน เช่น I am pretty. She is pretty.

ผันตาม tense

เช่น I was pretty เมื่อเปลี่ยนจาก Present Simple Tense มาเป็น Past Simple Tense เราก็ต้องผัน am มาเป็น was

รายละเอียดเรื่องการผันตาม tense จะอธิบายเพิ่มในหัวข้อ tense ใน ภาษาอังกฤษ

Adjective

Adjective : adj หรือ คำคุณศัพท์ เป็นคำที่ใช้ขยาย noun หรือ pronoun เท่านั้น เพื่ออธิบายว่าคน สัตว์ สิ่งของ นั้นเป็นอย่างไร

สิ่งที่ต้องรู้เพิ่มด้วยคือ determiner ต่างๆ ก็ถือว่าเป็น adj ด้วย เช่น a, an, the, this, these, that, those 

การผัน adjective

adj สามารถผันเป็น comparative หรือ superlative ได้ เพื่อนำมาใช้เปรียบเทียบ มีกฏการผันดังตาราง

การเปรียบเทียบในขั้นธรรมดาระหว่างของสองสิ่ง

การเปรียบเทียบในขั้นธรรมดาระหว่างของสองสิ่งว่าทั้งสองนั้นเท่ากัน
เราจะใช้คำว่า as…as เช่น My little brother is as tall as me. น้องชายของฉันสูงเท่าฉัน

การเปรียบเทียบในขั้นกว่าจะใช้คำว่า than เพื่อแสดงว่าสิ่งหนึ่งมากกว่าอีกสิ่ง
เช่น Your hair is longer than mine now. ผมของเธอยาวกว่าของฉันแล้วตอนนี้

ในบางครั้งการเปรีบบเทียบอาจจะไม่มีคำว่า than เพราะละสิ่งที่เอามาเทียบเอาไว้
เช่น She looks happier this week. ละคำว่า than usual/ than last week เอาไว้

การเปรียบเทียบขั้นสูงสุด จะใช้ในการเปรียบเทียบระหว่างสิ่งของที่มีมากกว่าสองสิ่ง
เช่น I can say that this is the most popular book this year. เปรียบเทียบหนังสือเล่มอื่นๆ แล้ว หนังสือเล่มนี้เป็นที่นิยมมากที่สุด

การผัน adjective

adj สามารถอยู่ใน 2 ตำแหน่งด้วยกันคือ หน้า noun และหลัง verb to be ยกตัวอย่งเช่น

  • That long dress looks very elegant. long เป็น adj อยู่นำหน้า dress
  • They are the best students in our class. the best เป็น adj อยู่ตามหลัง are ที่เป็น verb to be

บางครั้งอยู่หลัง adv หากมี adverb มาขยาย

  • your cupcake smells very good. คำว่า very เป็น adverb มาขยาย good ที่เป็น adj

Order of adjectives

ในภาษาอังกฤษ หาก noun ตัวนั้นถูก adj ขยายมากกว่า 1 ตัวต้องจัดลำดับในการวาง adj ตามลำดับให้ถูกต้อง

จำไว้ว่า adj ที่เป็น นามธรรม จะมาก่อน รูปธรรม

ปกติแล้วเราจะไม่ใช้ adj มาขยาย noun มากกว่า 5 คำ

ด้านล่างนี้เป็นตารางลำดับของ adj พร้อมตัวอย่าง

Adverb

Adverb: adv (คำกริยาวิเศษณ์) สามารถใช้ขยาย verb, adjective และแม้แต่ adverb ด้วยกัน

ตัวอย่างของ adv 
That woman can walk extremely elegantly. คำว่า extremely ขยายคำว่า elegantly และ elegantly มาขยาย walk
แปลว่า ผู้หญิงคนนั้นสามารถเดินได้อย่างสวยงามแบบสุดๆ

คำไหนบ้างที่เป็น adv ส่วนมากแล้ว adv จะลงท้ายด้วย ly แต่ก็มีบางคนที่ยกเว้นไว้ เช่น well, fast, late

ประเภทของ adverb

adverb of manner

adverb of manner บอกว่าทำกริยานั้นอย่างไร เช่น

  • Matthew talked about changing his job very seriously. คำว่า seriously มาขยาย talked ให้ความหมายว่า พูดอย่างเคร่งเครียด

adverb of place​

adverb of manner​ บอกว่ากริยานั้นทำที่ไหน

  • She is getting her master’s degree at the University of Bangkok คำว่า at the University of Bangkok ขยายคำว่า is getting บอกว่าได้รับปริญญาโทจากที่ไหน

adverb of frequency

adverb of frequency บอกว่าทำกริยานั้นบ่อยแค่ไหน

  • I seldom drive in the city. คำว่า seldom ขยายคำว่า drive ว่า แทบจะไม่ขับ

ตารางแสดง adv of frequency ที่ต้องรู้

adverb of time

adverb of time บอกว่าทำกิริยานั้นเมื่อใด

  • This cat keeps showing up at my house in the afternoon. คำว่า in the afternoon ขยายคำว่า keep showing ว่ามาให้เห็นตอนบ่ายๆ

ตำแหน่งของ adverb

adverb อยู่ได้แทบจะทุกที่ของประโยค 

  • ถ้าอยู่หน้า verb หรือ ท้ายประโยค ส่วนมากจะมาขยาย verb 
  • ถ้าอยู่หน้า adj จะขยาย adj ตัวที่มันนำหน้า
  • ถ้าอยู่ต้นประโยค จะมาขยายประโยคทั้งประโยค

Preposition

Preposition : prep หรือคำบุพบท เป็นคำที่ใช้เชื่อม noun หรือ pronoun เข้ากับคำอื่นๆ หรือเข้ากับ noun และ pronoun เอง เช่น Kevin will move to japan next year คำว่า to เชื่อมคำว่า move เข้ากับ Japan เพื่อบอกว่าย้ายไปไหน prep นั้นมีเยอะมาก จำไม่มีทางได้หมด แต่เราต้องจำคำที่พบบ่อยๆ ให้ได้ แนะนำอ่านที่เว็บนี้เพิ่มครับ เขาอธิบายไว้ได้ค่อยข้างเยอะและครอบคลุม คลิก ต่อไปเมื่อเราเริ่มอ่านมากขึ้น ทำโจทย์มากขึ้น ก็จะได้พบกับ prep อีกมากมายครับ สามารถเริ่มจด และจำจาก ขั้นตอนนั้นได้

ตำแหน่งของ Preposition​

  • Prep สามารถตามหลังได้ทั้ง verb, noun และ adj

    • noun + prep : need of, success in, awareness of
    • adj + prep : angry with, happy for, worried about
    • verb + prep : สำหรับ verb บางตัว ถ้าเปลี่ยน prep ที่ตามหลังก็จะทำให้ความหมายเปลี่ยนด้วย เช่น look up, look for, put up with, put down.

Conjunction

Conjuction : conj คำสันธาน ใช้เป็นคำเชื่อมประโยค เข้าด้วยกัน

ประเภทของ Conjunction

coordinating conjunctions

คำสันธานที่ใช้เชื่อมคำหรือประโยคสองอันเข้าด้วยกัน โดยสองข้อความที่ถูกเชื่อมนั้นจะต้องมีน้ำหนักหรือความสำคัญเท่ากัน เช่น and, yet, but, for, so, nor, neither, or

  • and ใช้เชื่อมประโยคที่เป็นไปในทางเดียวกัน (แปลว่า และ)
    เช่น I love you and you love me too. (ฉันรักเธอ และ เธอก็รักฉัน)

  • yet และ but ใช้เชื่อมประโยคที่ขัดแย้งกัน (แปลว่า แต่)
    เช่น My brother worked hard but he did not succeed. (พี่ชายของฉันทำงานหนัก แต่ เขาก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ)

  • for ใช้เชื่อมประโยคที่เป็นเหตุเป็นผลกัน (โดย for จะแสดงเหตุ ส่วนตัวผมจะแปลว่าเพราะ)
    เช่น He went in, for the door was open. เขาเข้าไป เพราะ ประตูเปิดอยู่ (สังเกต for จะนำหน้าประโยคที่เป็นเหตุ)

  • so ใช้เชื่อมประโยคที่เป็นเหตุเป็นผลกัน (โดย so จะแสดงผล แปลว่า ดังนั้น)
    เช่น The door was open so he went in. ประตูเปิดอยู่ ดังนั้น เข้าจึงเข้าไป (สังเกต so จะนำหน้าประโยคที่เป็นผล)

  • nor และ neither ใช้เชื่อมประโยคที่เป็นไปในเชิงปฏิเสธทั้งคู่ (อาจแปลได้ว่า ไม่ทั้งสองอย่าง)
    เช่น He nor I was there. เขาและฉัน ไม่ ได้อยู่ที่นี่ (มาจาก He wasn’t there and I weren’t there.)

  • or ใช้เชื่อมประโยคที่แสดงทางเลือก (แปลว่า หรือ)
    เช่น She wants to watch TV or (to) listen to some music. เธอไปดูทีวี หรือ ไปฟังเพลง ( to หน้า listen อาจละไว้ได้)

Subordinating Conjunction

คือคำสันธานที่ใช้เชื่อมประโยคใจความรองเข้ากับประโยคใจความหลัก Subordinating Conjunction มีเยอะมากๆๆ เขียนในนี้คงไม่หมด เพื่อนๆ สามารถกดดูทั้งหมดได้จากที่ที่ครับ >คลิกเลย<

Correlative Conjunction

คือคำสันธานที่ต้องใช้คู่กันเสมอ(มาคู่กันเหมือนแฝด) โดยจะทำหน้าที่คล้ายๆกับ Coordinating Conjunction คือเชื่อมประโยคที่มีความสำคัญเท่ากัน Correlative Conjunction นั้นก็มีเยอะมากๆๆ เหมือนกัน ผมแยกเอาไว้แล้วเข้าไปดูได้ผ่านลิงค์นี้เลย >คลิกเลย<

Interjection

interjections คือคำที่ใช้แสดงความรู้สึกและอารมณ์ให้ชัดเจนขึ้น เช่นยินดี ดีใจ เสียใจ ผิดหวัง โกรธ เกลียด ขยะแขยง และปกติมักจะตามหลังด้วย เครื่องหมาย exclamation mark (!) แต่บางทีจะเป็นเครื่องหมาย , แล้วปิดท้ายประโยคด้วยจุด (period) หรือ เครื่องหมายคำถาม (question mark) ก็ได้

ตัวอย่างของ Interjection

Ahem อะเฮิม อะแฮ่ม (โปรดฟังทางนี้)

Alas อะแล๊ซ – โถ, โอ้ (สงสาร เวทนา)

Aha อะฮ้า (เข้าใจ, ปิ้งไอเดีย)

Bingo บิ๊งโก เย้ ไชโย (ดีใจ)

Boo บู – แฮ่ แบร่ (ขู่ให้ตกใจ)

Duh เดอ – ปัดโถ่ (โง่เง่าสิ้นดี)

Eh เอ – ว่ามั้ย ว่าไงนะ (ถามความเห็น ให้พูดซ้ำ)

Eww อิว – ยี้ (รังเกียจ)

Gee จี – โห (แปลกใจ)

Gosh กอช – พระช่วย (แปลกใจ ตกใจ)

Ha ฮา – ฮ้า (แสดงความพอใจ)

Help เฮ็ลพ – ช่วยด้วย (ขอความช่วยเหลือ)

Hmm เฮิม – อืม (คิดก่อน)

สรุป

จบไปแล้วนะครับกับ Grammar อันแรกที่ต้องรู้ก่อนสอบ TOEIC ในเรื่องของ Part of Speech

ในบทความนี้เราอธิบาย ให้เพื่อนๆ ได้รู้จักกับแต่ละประเภทของคำ เพื่อนๆ บางท่านจะยังรู้สึกว่าไม่ค่อยได้ฝึกฝนมากเท่าไหร่

แต่ไม่ต้องกังวล เพื่อนๆ จะได้หัดทำไปพร้อมๆ กันในบทความที่เกี่ยวกับ TOEIC part 5 เพราะในบทความนั้นจะเป็นการวิเคราะห์โจทย์ ที่ต้องใช้เรื่องของ Part of Speech มาใช้เยอะมาก

Grammar เรื่องต่อไปคือเรื่อง Tense ติดตาม รออ่านกันได้เลยครับผม