เตรียมสอบ TOEIC ด้วยตัวเอง ตอนที่ 8 – สรุป TOEIC Part 3

เข้าใจ TOEIC พาร์ท 3 ในบทความเดียว

Admin

สำหรับคนที่เตรียมสอบ TOEIC ด้วยตัวเอง ควรเริ่มศึกษาอะไรก่อน เป็นอันดับแรก

ผมเองเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้ลงเรียนคอร์สอะไรเลย ก่อนสอบ TOEIC เริ่มอ่านทุกอย่างด้วยตัวเอง ผมจึงเข้าใจความรู้สึกของการที่จะไม่รู้จะเริ่มต้น อ่าน TOEIC จากตรงไหนดี

สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังหาหนทางในการเริ่มต้นไม่เจอ ผมได้จัดทำ ซีรี่ย์บทความการเตรียมสอบ TOEIC ด้วยตัวเองขึ้นมา

สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการอ่าน TOEIC ด้วยตัวเอง ไม่ต้องเสียเงินเข้าเรียนคอร์สอะไรทั้งนั้น

รับรองว่าอ่านบทซีรีย์บทความของเรา เทียบเท่ากับซื้อหนังสือ หรือเรียนคอร์สออนไลน์แน่นอนครับ 

และที่สำคัญ ฟรี อ่านได้ฟรีๆ ไม่คิดเงินสักบาท

สรุปเนื้อหา และเทคนิคการทำข้อสอบ

ตอนที่นี้จะเป็นการสรุปเนื้อหา ลักษณะข้อสอบ แสดงตัวอย่างข้อสอบ และเทคนิคการทำข้อสอบข้อสอบ TOEIC Part 3 และวิธีการเตรียมตัวสอบที่เป็นพื้นฐานเพื่อจะให้ได้คะแนนมากที่สุด

post-cover-ตอนที่-8

Table of Contents

ลักษณะของข้อสอบ

ข้อสอบ TOEIC พาร์ท 3 จะเป็นข้อสอบบทพูดที่ยาวขึ้น โดยจะมีความยาวประมาณ 20-30 วินาที

บทพูดนี้จะเป็น การสนทนาของคน 2-3 คน ข้อสอบใหม่รูปแบบปี 2020 นั้น จะมีข้อสอบแบบใหม่ที่เพิ่มเข้ามาคือ บทความสนทนาที่มีคนพูด 3 คน นอกจากนี้ยังมีบทพูดที่มีรูปภาพเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ในข้อสอบรูปแบบใหม่นี้

โดยมากจะเป็นเสียงของผู้ชาย และผู้หญิงสนทนาการ เพื่อให้ง่ายต่อการฟัง และแยกออก ส่วนมากแล้วบทสนทนานั้นจะเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้วไปในชีวิตประจำวัน การทำงาน 

ตัวอย่างข้อสอบ

ใน Section นี้จะเป็นการอธิบายรูปแบบของข้อสอบทั่วไปที่มีโอกาสได้เจอ และข้อสอบแบบใหม่ที่มีการเพิ่มเข้ามาตั้งแต่ต้นปี 2020 หรือที่เราเรียกกันว่าข้อสอบใหม่ 2020 format

ตัวอย่างของบทพูดนี้ โจทย์ และเฉลยภาษาไทย มาจากข้อสอบจริง ที่อยู่ในแอพ MMR TOEIC Listening ซึ่งเป็นแอพรวมข้อสอบ TOEIC แบบใหม่ปี 2020 ซึ่งข้อสอบในแอพนี้ เหมือนข้อสอบจริงแบบสุดๆ ครับ

บทสนทนาทั่วไป

บทสนทนานี้เป็นรูปแบบที่พบได้เยอะที่สุดในพาร์ทที่ 3 โจทย์ในบทสนทนานี้ทั้ง 3 ข้อ จะเน้นถามไปที่เนื้อหาภายในของบทสนทนาอย่างเท่านั้น เราลองมาดู ตัวอย่างของคำถาม และคำตอบของรูปแบบนี้กันครับ จากแอพ MMR TOEIC Listening

What position is the man applying for?

(A) Lecturer
(B) Editor
(C) Journalist.
(D) Superintendent.

Q: ตำแหน่งอะไรที่ผู้ชายยื่นใบสมัครเข้ามา
(A) อาจารย์ 
(B) เครื่องมือแก้ไข 
(C) นักข่าว
(D) ผู้กำกับการ

คำตอบที่ถูกต้องอยู่ในคำพูดของผู้หญิง You are one of the final applicants that we are considering for the teaching position at Belmont University.

แปลว่า
“คุณได้รับเลือกให้เป็นผู้สมัครที่ผ่านเกณฑ์สำหรับตำแหน่งการสอนที่ Belmont University”

ตำแหน่งการสอน หรือ teaching position ในที่นี่หมายถึงการสอนหนังสือ ซึ่ง Lecturer สามารถแปลได้ว่าเป็นผู้สอนหนังสือ หรืออาจารย์

คำตอบที่ถูกต้องคือ (A) Lecturer

What makes the man qualified for the position?

(A) His academic background
(B) His previous work experience.
(C) His public popularity.
(D) His eloquence.

Q: เหตุผลอะไรที่ทำให้ผู้ชายเหมาะสมสำหรับตำแหน่งนี้ 
(A) ภูมิหลังทางวิชาการของเขา 
(B) ประสบการณ์การทำงานก่อนหน้าของเขา 
(C) ความนิยมสาธารณะของเขา 
(D) คารมคมคายของเขา 

คำตอบที่ถูกต้องอยู่ในคำพูดของผู้ชายที่ว่า I used to be an editor-in-chief at a literary magazine. Therefore, I think it has prepared me well to teach in the English literature department at your university.

แปลว่า “ผมเคยเป็นหัวหน้าตำแหน่ง editor ใน literary magazine ดังนั้นผมคิดว่างานที่เคยทำได้เตรียมให้ผมพร้อมที่จะมาเป็นผู้สอนได้อย่างดีใน คณะ วรรณคดีอังกฤษ ของมหาวิทยาลัยของคุณ”

ดังนั้น จากคำพูดของผู้ชายทำให้รู้ว่าได้ เขามีประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้องกับด้าน วรรณคดีอังกฤษ ที่สามารถช่วยให้เขาเหมาะสมตำแหน่งอาจาย์ในคณะนี้ ตรงกับตัวเลือก (B) ประสบการณ์การทำงานก่อนหน้าของเขา

คำตอบที่ถูกต้องคือ (B) His previous work experience.

What extra benefit does the woman mention?

(A) Health insurance
(B) Flexible hours
(C) A lot of free time
(D) Regular incentives.

Q: อะไรคือข้อดีที่จะได้รับการทำงานตำแหน่งนี้ ที่ผู้หญิงพูดถึง

(A) ประกันสุขภาพ 
(B) ชั่วโมงที่ยืดหยุ่น 
(C) เวลาว่างมาก 
(D) แรงจูงใจปกติ 

คำตอบที่ถูกต้องอยู่ในคำพูดของผู้หญิงที่ว่า if you take a job with us, you would receive a lot of time off during the summer vacation.

แปลว่า “ถ้าคุณเลือกทำงานกับเราคุณจะมีเวลาว่างเยอะมากในช่วงหยุดฤดูร้อน”

ดังนั้นการมีวันหยุดเยอะมากในช่วงฤดูร้อนนั้น ตรงกับการมีเวลามากที่มากทำให้

ตัวเลือกที่ถูกต้องคือ (C) A lot of free time

W: Hello, Mr. Weaver. You are one of the final applicants that we are considering for the teaching position at Belmont University. How do you think your previous jobs have prepared you to teach at our university.

M: Well, I used to be an editor-in-chief at a literary magazine. Therefore, I think it has prepared me well to teach in the English literature department at your university. I would be able to help students to become better writers.

W: Well, I think you are right about that. You seem to be qualified for the position. As you may know, we don’t pay a lot for this position. However, if you take a job with us, you would receive a lot of time off during the summer vacation.

M: Actually, that’s one of the reasons I chose this job,

บทสนทนาที่มีคนพูด 3 คน

บทสนทนานี้จะมีคนพูด 3 คน บางครั้งอาจเป็น ชายสองหญิงหนึ่ง หรือหญิงสองชายหนึ่ง ซึ่งเสียงของผู้พูดจะแตกต่างกันชัดเจน ดังนั้นไม่ต้องกังวลไปว่าจะแยกไม่ออก

และคำถามในโจทย์ของบทสนทนาแบบนี้จะเน้นถามที่เนื้อหาในบทสนทนาทั้ง 3 ข้อ มาลองดูตัวอย่างกันได้เลยครับ จากแอพ MMR TOEIC Listening เช่นเคย

What is the woman concerned about?

(A) Getting extra vacation.
(B) Doing too much work
(C) Not having time for her children
(D) Preparing a report

Q: เรื่องใดที่ผู้หญิงกังวล
(A) รับวันหยุดพิเศษ
(B) ทำงานหนักเกินไป 
(C) ไม่มีเวลาสำหรับลูก ๆ ของเธอ 
(D) การจัดทำรายงาน 

คำตอบที่ถูกต้องอยู่ในบทพูดของผู้หญิงที่บอกว่า We are really busy at the moments so it’s going to be a lot of extra hours after work, and I have to take care of my children.

แปลว่า “พวกเขาค่อนข้างยุ่ง ดังนั้นเราต้องใช้เวลาทำงานเพิ่มขึ้นหลังจากเวลางานปกติ และฉันเองก็ต้องดูแลลูกๆ ของฉันด้วย”

ใจความของประโยคนี้คือต้องการสื่อว่าการที่ต้องใช้เวลาหลังเลิกงานมาทำงานเพิ่มนั้นส่งผลให้ผู้หญิงไม่มีเวลาไปดูแลลูกๆ ของเธอ ตรงกับตัวเลือก C

ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ (C) Not having time for her children

What does the man suggest?

(A) Fire the manager
(B) Wait until their vacation
(C) Hire a baby sitter
(D) Have some extra vacation days

Q: ผู้ชายแนะนำว่าอะไร
(A) ไล่ผู้จัดการออก
(B) รอจนกว่าจะถึงวันหยุด
(C) จ้างพี่เลี้ยงเด็ก
(D) เพิ่มวันหยุดพิเศษเข้ามา

คำตอบที่ถูกต้องอยู่ในบทพูดของผู้ชายคนที่สอง (M2) ที่ว่า Yeah, that’s a lot of extra work. (2) I think after next month we should get a few days added to our vacation.

แปลว่า “ใช่มันเป็นงานที่เพิ่มเข้ามา ฉันคิดว่าเดือนถัดจากเถือนหน้าพวกเราควรได้วันหยุดพิเศษเพิ่มเข้ามานะ”

ประโยคนี้เป็นประโยคที่ผู้ชายคนที่สอง แนะนำทางออกให้กับทั้งผู้หญิง และผู้ชายคนที่หนึ่ง ให้เพิ่มวันหยุดเข้ามาจะได้แฟร์กับการทำงานที่เพิ่มขึ้น ตรงกับตัวเลือก (D) เพิ่มวันหยุดพิเศษเข้ามา

ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ (D) Have some extra vacation days

What does the woman say she will have to do?

(A) Hire a babysitter
(B) Go to another company
(C) Ask her husband
(D) Finish her sales reports.

Q: ผู้หญิงบอกว่าเธอจะทำอะไรหลังจากนี้
(A) จ้างคนเลี้ยงเด็ก
(B) ไปที่ บริษัท อื่น
(C) ถามสามีของเธอ
(D) ทำรายงานการขายให้เสร็จ

คำตอบที่ถูกต้องอยู่ในบทพูดของผู้หญิงที่ว่า That sounds reasonable. I will need to hire a babysitter while I’m doing the overtime, so the extra vacation time seems fair

แปลว่า “มันดูมีเหตุผลนะ ฉันจะต้องจ้างพี่เลี้ยงเด็กสำหรับการที่ฉันทำงานล่วงเวลา ดังนั้นวันหยุดพิเศษนั้นมันเหมาะสมแล้ว”

ประโยคนี้บอกตรงๆ แล้วว่าผู้หญิงจะจ้าง Babysitter แปลว่า พี่เลี้ยงเด็ก คำตอบที่ถูกต้องคือ (A) จ้างคนเลี้ยงเด็ก

ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ (A) Hire a babysitter

M1: Tom and Julie, I need the sales reports for this month ready a bit early. Next month is really important for our company so we need to prepare a bit earlier than usual.

W: Sure. But we will need to do some overtime. We are really busy at the moment so it’s going to be a lot of extra hours after work, and I have to take care of my children.

M2: Yeah, that’s a lot of extra work. I think after next month we should get a few days added to our vacation.

W: That sounds reasonable.  I will need to hire a baby sitter while I’m doing the overtime, so the extra vacation time seems fair

M1: I agree. Okay, we will discuss the details later, but I definitely agree with you.

บทสนทนาที่มีรูปภาพประกอบ

บทสนทนานี้จะมีคนพูดแค่ 2 คน แต่สิ่งที่แตกต่างไปคือ หนึ่งในคำถามนั้นจะมีรูปภาพที่เกี่ยวข้องกับบทสนทนา ซึ่งเราต้องดูที่รูปภาพนั้น และอ้างอิงกับเนื้อหาในบทสนทนา เพื่อหาคำตอบที่ถูกต้อง มาดูตัวอย่างกันได้เลยครับ จากแอพ MMR TOEIC Listening

What does the woman have on Friday?

(A) A dinner meeting
(B) A seminar
(C) A meeting
(D) A work party

Q: สิ่งใดที่ผู้หญิงต้องทำในวันศุกร์
(A) การประชุมอาหารค่ำ
(B) การสัมมนา
(C) การประชุม
(D) กลุ่มงาน

คำตอบที่ถูกต้องอยู่ในบทพูดของผู้หญิงที่ว่า I am having a meeting with some very important clients on Friday.

แปลว่า “ฉันจะมีประชุมกับลูกค้าที่สำคัญมากในวันศุกร์”

ประโยคนี้บอกตรงๆ แล้วว่าเธอมีประชุมในวันศุกร์

ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ (C) A meeting

p3-pic-of-audio

Look at the graphic. How much does the woman pay for the furniture?

(A) $165
(B) $195
(C) $307
(D) $614

Q: ดูที่รูปภาพ ผู้หญิงต้องจ่ายเงินสำหรับเฟอร์นิเจอร์เป็นราคาเท่าใด 
(A) $165 
(B) $195 
(C) $307 
(D) $614 

จากรูปภาพ ราคาโต๊ะ Cherry โต๊ะละ $307 ดังนั้นเมื่อซื้อ 2 ตัว ผู้หญิงต้องจ่ายเงินทั้งหมด $614

ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ (D) $614

What does the man say he will do?

(A) Arrange free delivery
(B) Deliver the furniture in the evening
(C) Send a confirmation
(D) Deliver the table himself

Q: ผู้ชายบอกว่าเขาจะทำอะไร
(A) เตรียมการจัดส่งที่ไม่คิดค่าธรรมเนียม 
(B) ส่งมอบเฟอร์นิเจอร์ในตอนเย็น 
(C) ส่งคำยืนยัน 
(D) ส่งตารางตัวเอง 

คำตอบที่ถูกต้องอยู่ในบทพูดสุดท้ายของผู้ชายที่ว่า I will make sure that your order arrives tomorrow moring before midday, and delivery will be free of charge.

แปลว่า “เขาจะดำเนินการจัดการออเดอร์และการจัดส่งให้ถึงลูกค้าในวันพรุ่งนี้ก่อนเที่ยง และการส่งนี้ไม่คิดค่าส่ง”

ใจความของประโยคนี้คือ เขาจะจัดการออเดอร์ และส่งออเดอร์ให้ลูกค้า ซึ่งตัวเลือกที่มีคำแปลตรงกับใจความนี้คือ (A) เตรียมการจัดส่งที่ไม่คิดค่าธรรมเนียม

ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ (A) Arrange free delivery

W: Hi, we are renovating our boardroom and I’d like to purchase some cherry wood tables for our conference room. I am having a meeting with some very important clients on Friday. So I’d like to have them delivered tomorrow. What is the cost for an emergency delivery?

M: Hold a moment, please… Next day delivery is an extra seventy-five dollars.

W: Really? That is expensive. I thought if my order was over three hundred dollars, delivery would be free of charge.

M: Well, yes. are you planning to order the cherry wood tables?

W: Yes, I would like two of them.

M: Ok then, (6) I will make sure that your order arrives tomorrow moring before midday, and delivery will be free of charge.

บทสนทนาที่มีคำถามถามหาเหตุผล

บทสนทนานี้จะมีคนพูดแค่ 2 คน ซึ่งดูเหมือนกับคำถามทั่วไป แต่สิ่งที่แตกต่างคือ จะมีโจทย์หนึ่งข้อ ที่จะถามหาเหตุผลว่า “ทำไม” ผู้พูด ถึงพูดแบบนี้ มาดูตัวอย่างกันเลยครับ ตัวอย่างนี้มาจาก จากแอพ MMR TOEIC Listening

What is the problem?

(A) The plane tickets were not booked.
(B) A meeting had to be rescheduled.
(C) The meeting was a success.
(D) A deadline has been changed.

อะไรคือปัญหา? 
(A) ตั๋วเครื่องบินไม่ได้จอง 
(B) มีการจัดกำหนดการประชุมใหม่ 
(C) การประชุมประสบความสำเร็จ 
(D) กำหนดเวลาสิ้นสุดแล้ว 

คำตอบที่ถูกต้องอยู่ในเนื้อหาบทพูดแรกของผู้หญิง เค้าแจ้งข่าวให้กับ Jeffries ว่าลูกค้าที่ New Jersey เลื่อนตารางเวลาการประชุมไปเป็น 5th of July

ดังนั้นปัญหาที่ผู้หญิงแจ้งกับผู้ชายคือ การเลื่อนเวลาการประชุม หรือการมีจัดกำหนดการประชุดใหม่

ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ (B) A meeting had to be rescheduled.

Which part of the business trip will be postponed?

(A) The meeting in New York
(B) The meeting in Wisconsin
(C) The meeting in Washington
(D) The meeting in Westboro

Q: ส่วนใดของการเดินทางเพื่อธุรกิจที่จะถูกเลื่อนออกไป 
(A) การประชุมในนิวยอร์ก 
(B) การประชุมในรัฐวิสคอนซิน 
(C) การประชุมที่วอชิงตัน 
(D) การประชุมที่ Westboro 

คำตอบที่ถูกต้องอยู่ในคำพูดของผู้หญิงที่ว่า I explained that we need to postpone the meeting in Washington because of your client in New Jersey.

แปลว่า “ฉันอธิบายไปว่าเราต้องเลื่อนการประชุมในวอชิงตันเพราะลูกค้าของคุณในนิวเจอร์ซีย์”

ใจความประโยคนี้บอกไว้ว่าการประชุมที่ Washington ต้องเลือกออกไป ตรงกับตัวเลือก C

ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ (C) The meeting in Washington

What does the man mean when he says “That’s not a bad idea”?

(A) He thinks it is a bad idea.
(B) He agrees with the proposed solution.
(C) He wants to hear other ideas.
(D) He disagrees with the solution.

ผู้ชายหมายความว่าอะไรเมื่อเค้าพูดว่า “That’s not a bad idea” 
(A) เขาคิดว่ามันเป็นความคิดที่ไม่ดี 
(B) เขาเห็นด้วยกับวิธีแก้ปัญหาที่เสนอ 
(C) เขาต้องการฟังความคิดอื่น ๆ 
(D) เขาไม่เห็นด้วยกับวิธีแก้ปัญหา 

ก่อนหน้าคำพูดนี้ผู้หญิงอธิบายแนวทางการแก้ปัญหาที่มาจากการเลื่อนกำหนดการการประชุมที่ New Jersey

การตอบการของผู้ชายที่ว่า That’s not a bad idea แปลว่า “นั้นเป็นความคิดที่ไม่เลว” แสดงว่าเค้าเห็นด้วยการความคิดเห็นของผู้หญิง

ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ (B) He agrees with the proposed solution.

W: Hi, Mr. Jeffries. Unfortunately, our client in New Jersey called and said they have to reschedule the meeting date to 5th of July. I went ahead and booked a ticket for the 4th. Is it OK if you go straight to Washington after New Jersey?

M: What about the client in Washington? Were they comfortable with the schedule?

W: Yes, I explained that we need to postpone the meeting in Washington because of your client in New Jersey. I think this gives us time to prepare some additional materials for your presentation. I would like to add some more details to your PowerPoint slides about our new products. Let’s meet this afternoon and discuss it.

M: That’s not a bad idea. I’ll see you this afternoon.

ประเภทของคำถาม

โจทย์ในพาร์ทนี้จะมีลักษณะคำถามที่แบ่งได้ หลักๆ สองแบบคือ

  1. ถามเนื้อหาที่อยู่ในบทสนทนา
  2. ถามว่าทำไม ผู้พูด ถึงพูดประโยคนี้

คำถามถามเนื้อหาที่อยู่ในบทสนทนา

โจทย์เองก็จะแบ่งเป็นอีกสองลักษณะ แบบแรกคือ คำถามที่มีคำตอบ(หรือตัวเลือก) เป็นประโยค หรือคำศัพท์เดียวกับที่ใช้ในบทสทนาครับ พูดง่ายๆ ก็คือบทพูด พูดว่าอะไร ตัวเลือกก็เป็นคำเดียวกัน เป็นประโยคเดียวกัน เลือกตอบได้เลย 

ตัวอย่างเช่น คำถามคือ “What does the woman have on Friday?” คำตอบในบทพูดคือ “I am having a meeting with some very important clients on Friday.” จากบทพูดนี้บอกตรงๆ แล้วว่า วันศุกร์จะมีประชุมนะ ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดในวันศุกร์คือ “การประชุม”ครับ 
คำถามแบบนี้เนี่ยง่ายเพื่อนๆ คงจะทำได้กันหมด

แต่ลักษณะที่ยากนั้นคือ ลักษณะแบบที่สอง ที่ คำศัพท์ หรือประโยคในบทพูดนั้น เป็นคำคนละคำกับในตัวเลือก แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ใจความของความหมายครับ โจทย์แบบนี้ยากขึ้นมาหน่อย ตรงที่เราต้องแปลความหมายได้ทั้งฝั่งเนื้อหาบทพูด และความหมายของตัวเลือก ตัวอย่างเช่น

จากตัวอย่างโจทย์บทสนทนาตัวแทน ที่คำถามถามว่า “What extra benefit does the woman mention?” ซึ่งประโยคที่มีคำตอบบอกไว้นั้นพูดว่า “if you take a job with us, you would receive a lot of time off during the summer vacation.”

บทพูดบอกไว้ว่า จะได้ benefits คือ “lot of time off” แต่ตัวเลือกที่มีนั้นคือ (C) A lot of free time  จะเห็นได้ว่าเป็นคำศัพท์คนละคำ แต่มีความหมายเหมือนกัน นั้นคือมีเวลาว่างมากๆ

โจทย์แบบนี้ต้องระวังให้มากๆ ครับ เพราะจะต้องใช้ความเข้าใจในเนื้อหาบทพูด และแปลความหมายของตัวเลือก รวมทั้งเรายังต้องฟังให้เข้าใจ และอ่านให้เข้าใจทันทีอีกด้วย 

คำถามถามว่า “ทำไม” ถึงพูดประโยคนี้

สำหรับตัวผมแล้ว โจทย์แบบนี้คือ ยากที่สุด เพราะเราต้องเข้าใจบริบท จริงๆ และต้องใช้เวลาในการคิดถึงว่า “ทำไม” เขาถึงพูดแบบนี้

เหตุผลที่มันยากคือมันใช้เวลาในการคิดครับ หรือบางครั้ง ถ้าเราหลุด ฟังจับใจความไม่ได้นี่คือบ้าย บาย โจทย์ข้อนี้ไปได้เลย

แต่ TOEIC เองก็ไม่ได้ใจร้ายกับเรามาก เพราะโจทย์แบบนี้ไม่ไม่เยอะครับ น้อยๆ ดังนั้นทำไม่ได้ ก็ปลง แล้วรอไปทำข้ออื่นก็ได้ครับ ฮ่าๆ

สิ่งที่ต้องระวังในการสอบ

พาร์ท 3 มันยาวมากครับ หนึ่งบทสนทนา โจทย์อีกสามข้อ และพาร์ทนี้มีจำนวนข้อมากที่สุด สิ่งที่ทำให้ผู้สอบไขว้เขว มากที่สุดคือ “สมาธิ” ของผุ้สอบเอง ที่จะหลุดไประหว่างทำข้อสอบครับ

สมาธินั้นหลุดได้ยังไง สาเหตุหลักมาจาก 

  1. อยู่ดีๆ คิดเรื่องอื่นมาในหัว อันนี้ผมเองเป็นบ่อยมากๆ ครับ
  2. ไปกังวลกับโจทย์ข้อที่ผ่านมาแล้ว

คำแนะนำคือที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการนี้คือ

  1. ฝึกทำข้อสอบจริง บ่อยๆ ครับ เพราะจะเป็นการฝึกสมาธิของเราให้เหมือนเราไปสอบจริงๆครับ
  2. ให้คิดเสมอว่า “ผ่านไปแล้ว ผ่านไปเลย” อย่าไปสนใจโจทย์ข้อที่เราผ่านมาแล้วครับ เพราะเราแก้มันไม่ได้แล้ว ไม่ทันแล้ว
  3. ดึงสมาธิกลับมาให้ได้เสมอ พอรู้ว่าเริ่มไม่ได้สนใจกับข้อสอบแล้ว ต้องดึงสติกลับมาให้เร็วที่สุดครับ

เทคนิคการทำข้อสอบ

เทคนิคที่ผมจะแนะนำนั้นแตกต่างกับที่หลายๆ คนเคยให้คำแนะนำไว้ครับ คือ “ให้ฟังบทพูดให้จบก่อน ค่อยไปอ่านโจทย์ครับ”

เหตุผลที่ให้ทำแบบนี้คือ

  1. ถ้าเราไปอ่านโจทย์ก่อน แล้วเราไม่เข้าใจความหมายโจทย์ และตัวเลือก มันจะทำให้เราวอกแวก และสติหลุดได้ครับ
  2. ถ้าเราฝึกฟังให้จบแบบนี้ตั้งแต่แรก สิ่งที่เราจะได้ฝึกฝนคือ การฟังให้เข้าใจ และการจำเนื้อหาของบทพูดครับ ตอนที่ผมฝึกทำแบบนี้ผมรู้สึกได้เลยว่า มันดีกว่าที่จะต้องสลับอ่านโจทย์ไป ฟังไปด้วย
  3. ป้องกันสมาธิหลุด ฟังไม่เข้าใจในบางประโยค ลองนึกดูว่า ถ้าเกิดเราฟังไปด้วย และอ่านโจทย์ไปด้วย แล้วเราดันเจอคำศัพท์ หรือประโยค ที่เราต้องแบ่งสมาธิไปคิดคำแปล มันด้วย สิ่งนี้อาจทำให้เราหลุดจากบทพูดไป และทำให้ต้องเสียคะแนนไป ทั้ง 3 ข้อของโจทย์ได้เลย

ดังนั้นทำอะไรทำทีละอย่าง ฟังก็ฟัง อ่านก็อ่าน พอเราเริ่มคุ้นเคย หรือเก่งขึ้นแล้ว ค่อยพัฒนาเป็น ฟังไปด้วย อ่านไปด้วยนะครับ

เตรียมสอบ TOEIC ด้วยตัวเอง ตอนที่ 8 – สรุป TOEIC Part 3

ก่อนจากกันไป

บทความต่อเป็นจะเกี่ยวกับ TOEIC Part 4 นะครับ อย่าลืมติดตามกันด้วยน้า ถ้าเพื่อนๆ มีข้อสงสัย อยากสอบถามเพิ่มเติม เพื่อนๆ ติดต่อแอดมินมาได้เลยนะครับ ง่ายๆ แค่กดที่สัญลักษณ์ Line มุมขวาล่างของเว็บไซต์ครับผม

แล้วพบกันใหม่บทความถัดไปสวัสดีครับ

ความรู้ TOEIC สำหรับเตรียมสอบด้วยตัวเอง