เตรียมสอบ TOEIC ด้วยตัวเอง ตอนที่ 9 – สรุป TOEIC Part 4

เข้าใจ TOEIC พาร์ท 4 ในบทความเดียว

Admin

สำหรับคนที่เตรียมสอบ TOEIC ด้วยตัวเอง ควรเริ่มศึกษาอะไรก่อน เป็นอันดับแรก

ผมเองเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้ลงเรียนคอร์สอะไรเลย ก่อนสอบ TOEIC เริ่มอ่านทุกอย่างด้วยตัวเอง ผมจึงเข้าใจความรู้สึกของการที่จะไม่รู้จะเริ่มต้น อ่าน TOEIC จากตรงไหนดี

สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังหาหนทางในการเริ่มต้นไม่เจอ ผมได้จัดทำ ซีรี่ย์บทความการเตรียมสอบ TOEIC ด้วยตัวเองขึ้นมา

สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการอ่าน TOEIC ด้วยตัวเอง ไม่ต้องเสียเงินเข้าเรียนคอร์สอะไรทั้งนั้น

รับรองว่าอ่านบทซีรีย์บทความของเรา เทียบเท่ากับซื้อหนังสือ หรือเรียนคอร์สออนไลน์แน่นอนครับ 

และที่สำคัญ ฟรี อ่านได้ฟรีๆ ไม่คิดเงินสักบาท

สรุปเนื้อหา และเทคนิคการทำข้อสอบ

ตอนที่นี้จะเป็นการสรุปเนื้อหา ลักษณะข้อสอบ แสดงตัวอย่างข้อสอบ และเทคนิคการทำข้อสอบข้อสอบ TOEIC Part 4 และวิธีการเตรียมตัวสอบที่เป็นพื้นฐานเพื่อจะให้ได้คะแนนมากที่สุด

post-cover-ตอนที่-9

Table of Contents

ลักษณะของข้อสอบ

ข้อสอบ TOEIC พาร์ท 4 จะคล้ายกับ พาร์ท 3 ครับ คือเป็นบทพูดยาวเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่จะมีคนพูดแค่คนเดียว

การพูดคนเดียวนี้จะเป็นลักษณะการพูดที่ใช้ข้อมูลเป็นหลัก ให้เราลองนึกถึงเวลาเราฟังโฆษณาในวิทยุได้ครับ ที่เป็นคนพูดคนเดียว พูดเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และมีรายละเอียดข้อมูลในบทพูดเยอะขึ้นมากกว่าพาร์ทอื่นๆ ที่ผ่านมา

บทพูดในพาร์ท 4 นี้จะเป็นบทพูดในสถานการณ์ประมาณนี้ครับ การพูดนำเสนอในที่ประชุม การรายงานข่าว หรือบทพูดที่ได้ยินจากที่สาธารณะ เช่นสถานีรถไฟ สนามบิน เป็นต้น

ตัวอย่างข้อสอบ

ใน Section นี้จะเป็นการอธิบายรูปแบบของข้อสอบทั่วไปที่มีโอกาสได้เจอ และข้อสอบแบบใหม่ที่มีการเพิ่มเข้ามาตั้งแต่ต้นปี 2020 หรือที่เราเรียกกันว่าข้อสอบใหม่ 2020 format

ตัวอย่างของบทพูดนี้ โจทย์ และเฉลยภาษาไทย มาจากข้อสอบจริง ที่อยู่ในแอพ MMR TOEIC Listening ซึ่งเป็นแอพรวมข้อสอบ TOEIC แบบใหม่ปี 2020 ซึ่งข้อสอบในแอพนี้ เหมือนข้อสอบจริงแบบสุดๆ ครับ

บทพูดทั่วไป

บทพูดนี้เป็นรูปแบบที่พบได้เยอะที่สุดในพาร์ทที่ 4 โจทย์ในบทพูดนี้ทั้ง 3 ข้อ จะเน้นถามไปที่เนื้อหาภายในของบทสนทนาอย่างเท่านั้น เราลองมาดู ตัวอย่างของคำถาม และคำตอบของรูปแบบนี้กันครับ จากแอพ MMR TOEIC Listening

Where most likely does the speaker work?

(A) At a theater
(B) At a car dealership
(C) At a retail store
(D) At a library

ผู้พูดน่าจะทำงานที่ไหน มากที่สุด
(A) ที่โรงละคร 
(B) ที่ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ 
(C) ที่ร้านค้าปลีก 
(D) ที่ห้องสมุด 

คำตอบที่ถูกต้องอยู่ในประโยค Amy, it is your responsibility to check that the store is clean and well-stocked for customers before we open for the day.

แปลว่า “เอมี่เป็นความรับผิดชอบของคุณที่จะต้องตรวจสอบว่าร้านค้าสะอาดและมีสินค้าเพียงพอสำหรับลูกค้าก่อนที่เราจะเปิดทำการในวันนั้น”

คีย์อยู่ที่คำว่า store ตัวเลือกที่แปลว่า ร้านค้า หรือ store คือตัวเลือก (C) At a retail store

What is the listener asked to double-check?
(A) Accurate prices
(B) Sales figures
(C) Business hours
(D) Name tags

สิ่งที่ผู้ฟังขอให้ตรวจสอบอีกครั้ง? 
(A) ราคาที่ถูกต้อง 
(B) ตัวเลขการขาย 
(C) เวลาทำการ 
(D) แท็กชื่อ 

คำตอบที่ถูกต้องอยู่ในประโยค Most importantly, I would like you to make sure that the proper price tags are displayed in front of their corresponding products.

แปลว่า “ที่สำคัญที่สุดฉันต้องการให้คุณตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการแสดงป้ายราคาที่เหมาะสมไว้ด้านหน้าผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง”

ประโยคนี้บอกตรงๆ แล้ว่า สิ่งที่ผู้พูดขอให้ผู้ฟัง make sure คือ ป้ายราคา ตรงกับสินค้า

ดังนั้นตัวเลือกที่ถูกต้องคือ (A) Accurate prices

When should the listener contact the speaker?
(A) If an employee is late for work
(B) If a technical problem occurs
(C) If an item is out of stock
(D) If a customer is dissatisfied.

ผู้ฟังควรติดต่อผู้พูดเมื่อใด 
(A) หากพนักงานมาทำงานสาย 
(B) หากเกิดปัญหาทางเทคนิค 
(C) หากสินค้าหมด 
(D) หากลูกค้าไม่พอใจ 

คำตอบที่ถูกต้องอยู่ในประโยค In the case that a customer ever does get displeased, please let me know right away so I can come and deal with the problem in person.

แปลว่า “ในกรณีที่ลูกค้าไม่พอใจโปรดแจ้งให้เราทราบทันทีเพื่อที่เราจะได้จัดการกับปัญหาด้วยตนเอง”

ใจความของประโยคนี้คือ “เมื่อลูกค้าไม่พอใจ ให้ติดต่อผู้พูด” ตัวเลือกที่มีคำแปลตรงกับใจความนี้คือ ตัวเลือก (D) หากลูกค้าไม่พอใจ

ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ (D) If a customer is dissatisfied.

Amy, it is your responsibility to check that the store is clean and well-stocked for customers before we open for the day. Most importantly, I would like you to make sure that the proper price tags are displayed in front of their corresponding products. Customers get really confused and upset when the price of a product is displayed incorrectly. In the case that a customer ever does get displeased, please let me know right away so I can come and deal with the problem in person.

บทพูดที่มีคำถามถามหาเหตุผล

บทพูดนี้จะเป็นบทพูดปกติเหมือนกับบทพูดแบบแรกเลยครับ แต่จะมีโจทย์หนึ่งข้อ จากสามข้อที่ถามว่า ทำไม เหตุผลอะไร ที่ผู้พูด ถึงพูดประโยค “XXXXXX” อธิบายตอนนี้อาจจะยังไม่เห็นภาพมาลองดูตัวอย่างข้อสอบ พร้อมเฉลยภาษาไทย จากแอพ MMR TOEIC ได้เลยครับ

According to the speaker, why are changes being made?
(A) The government took the company to court.
(B) To conform to government regulations
(C) To enact a new labor board
(D) To arrange lower-paying contracts

ตามที่ผู้บรรยายกล่าวว่าเหตุใดจึงมีการเปลี่ยนแปลง 
(A) รัฐบาลนำ บริษัท ขึ้นศาล 
(B) เพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบของรัฐบาล 
(C) เพื่อตราคณะกรรมการแรงงานชุดใหม่ 
(D) เพื่อจัดทำสัญญาการจ่ายเงินที่ต่ำกว่า 

คำตอบที่ถูกต้องอยู่ประโยค I’d like to announce a few changes in our health and safety policy that are designed to conform to the new government regulations.

แปลว่า “ฉันต้องการประกาศการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในนโยบายด้านสุขภาพและความปลอดภัยซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบใหม่ของรัฐบาล”

ใจความของประโยคนี้คือ “การเปลี่ยนแปลงกฏของผู้พูดนั้นทำเพราะให้สอดคล้องกับกฏของรัฐบาล” ตัวเลือกที่แปลใกล้เคียงกับใจความนี้คือ (B) เพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบของรัฐบาล

คำตอบที่ถูกต้องคือ (B) To conform to government regulations
\n\n

What does the speaker imply when she says, “It’s a very simple device, you just attach it to your work belt and it will do the rest, so you won’t need any training with that”?
(A) The new system requires no training.
(B) She doesn’t like the new system.
(C) There is no budget for staff uniforms.
(D) Everyone needs training.

ประโยค “It’s a very simple device, you just attach it to your work belt and it will do the rest, so you won’t need any training with that” ที่ผู้พูดพูดนั้นมีความหมายว่าอะไร 
(A) ระบบใหม่ไม่จำเป็นต้องมีการฝึกอบรม 
(B) เธอไม่ชอบระบบใหม่ 
(C) ไม่มีงบประมาณสำหรับเครื่องแบบพนักงาน 
(D) ทุกคนต้องการการฝึกอบรม 

ก่อนหน้าที่จะพูดประโยคนี้ผู้พูดบอกไว้ว่า You will also wear a device that monitors your time on the shift. แปลว่า “ผู้ฟังจะต้องสวมอุปกรณ์ที่จะติดตามเวลาการทำงานของผู้ฟัง”

จากนั้นจึงพูดว่า “It’s a very simple device, you just attach it to your work belt and it will do the rest, so you won’t need any training with that ที่แปลว่า “มันเป็นอุปกรณ์ที่เรียบง่ายมากเพียงแค่ติดเข้ากับเข็มขัดทำงานของคุณก็จะทำงานที่เหลือดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องฝึกอะไรอีก”

สาเหตุที่ผุ้พูดพูดประโยคนี้เพื่อสื่อให้เห็นว่า อุปกรณ์ที่ผู้ฟังจะต้องใช้นั้นใช้งานง่าย ไม่จำเป็นต้องมีการฝึกฝนการใช้งานเพิ่ม ซึ่งตรงกับคำแปลของตัวเลือก (A) ระบบใหม่ไม่จำเป็นต้องมีการฝึกอบรม

ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ (A) The new system requires no training.

What does the speaker tell the listeners they will have to start bringing to work?
(A) Extra pairs of work pants
(B) Other people’s helmets
(C) Their own boots and helmets
(D) A new financial plan

ผู้พูดบอกอะไรกับผู้ฟังว่าพวกเขาจะต้องเริ่มนำอะไรไปมาทำงานด้วยตัวเอง? 
(A) กางเกงทำงานเสริมคู่ 
(B) หมวกกันน็อคของคนอื่น 
(C) รองเท้าบูทและหมวกกันน็อคของพวกเขาเอง 
(D) แผนทางการเงินใหม่ 

คำตอบที่ถูกต้องอยู่ในประโยค Sharing helmets and work boots is also now prohibited. You will have to buy your own equipment, and then later you can claim the money back on your tax return.

แปลว่า “หมวกกันน็อกและรองเท้าบูทนั้นถูกห้ามใช้ร่วมกันแล้ว คุณจะต้องซื้ออุปกรณ์ของคุณเองและหลังจากนั้นคุณสามารถเรียกร้องเงินคืนจากการคืนภาษีของคุณได้”

ประโยคนี้บอกว่า บริษัทจะไม่มีหมวกกันน็อกและรองเท้าบูทให้ใช้แล้ว ผู้ฟังจะต้องนำหมวกกันน็อกและรองเท้าบูทมาที่ทำงานเอง ดังนั้นสิ่งที่ผู้ฟังจะต้องนำมาเองคือ หมวกกันน็อกและรองเท้าบูท

คำตอบที่ถูกต้องคือ (C) Their own boots and helmets

Hi everyone, thanks for meeting with me today. (4) I’d like to announce a few changes in our health and safety policies that are designed to conform to the new government regulations. Firstly, we can no longer work a shift longer than six hours without taking a one-hour break. We’ll be using a clock-in system that is automated to send you a text message once you reach six hours. You will also wear a device that monitors your time on the shift.  It’s a very simple device, you just attach it to your work belt and it will do the rest, so you won’t need any training with that. Sharing helmets and work boots is also now prohibited. You will have to buy your own equipment, and then later you can claim the money back on your tax return.

บทพูดที่มีรูปภาพประกอบ

บทพูดนี้จะเป็นบทพูดปกติเหมือนกับบทพูดแบบแรกเลยครับ แต่จะมีโจทย์หนึ่งข้อ ที่โจทย์ให้รู้ภาพเรามา ซึ่งเป็นรูปภาพที่เกี่ยวข้องกับบทพูด และเราต้องดูรูปภาพนั้น ประกอบกับบทพูด เพื่อนำมาใช้ตอบคำถามครับ

มาลองดูตัวอย่างกันดีกว่า จากแอพ MMR TOEIC Listening เจ้าเดิมพร้อมเฉลยภาษาไทยจากในแอพครับ

What is indicated about Monster Telecom?
(A) They are having customer service problems.
(B) There are too many calls for the number of employees.
(C) Customer service is not important to their company.
(D) They need to hire more people.

ข้อใดถูกต้องกี่ยวกับ Monster Telecom? 
(A) พวกเขามีปัญหาในการบริการลูกค้า 
(B) มีการเรียกจำนวนพนักงานมากเกินไป 
(C) การบริการลูกค้าไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับ บริษัท ของพวกเขา 
(D) พวกเขาจำเป็นต้องจ้างคนมากขึ้น 

คำตอบที่ถูกต้องอยู่ในประโยค I wanted to get you together to go over the recent failures in our customer service department here at Monster Telecom

แปลว่า “ฉันอยากจะแจ้งพวกคุณเกี่ยวกับกับความล้มเหลวล่าสุดในแผนกบริการลูกค้าของเราที่ Monster Telecom”

ใจความของประโยคนี้คือ ผู้พูดแจ้งว่าในแผนกบริการลูกค้านั้นมีปัญหา ซึ่ง่ตัวเลือกที่มีคำแปลตรงกับใจความนี้คือ (A) พวกเขามีปัญหาในการบริการลูกค้า

คำตอบที่ถูกต้องคือ (A) They are having customer service problems.

P4-q33-pic-2

Look at the graphic. What areas should team leaders focus their training on?
(A) How to deal with customers being upset by overcharges
(B) Knowledge of all of the service plans
(C) Helping customers replace phones
(D) Knowledge of Monster Telecom’s cellular coverage area

ดูที่กราฟิก ผู้นำทีมควรเน้นการฝึกอบรมในด้านใด 
(A) วิธีจัดการกับลูกค้าที่ไม่พอใจจากการเรียกเก็บเงินมากเกินไป 
(B) ความรู้เกี่ยวกับแผนบริการทั้งหมด 
(C) ช่วยลูกค้าเปลี่ยนโทรศัพท์ 
(D) ความรู้เกี่ยวกับพื้นที่ครอบคลุมโทรศัพท์มือถือของ Monster Telecom 

จากบทพูดในประโยค In order to prepare you all to handle the most frequently asked questions from our customers, I have distributed the graph in front of you. Please go over this graph with your team leader and develop a plan to improve our customer service.

แปลว่า “เพื่อเตรียมความพร้อมให้คุณทุกคนในการรับมือกับคำถามที่พบบ่อยจากลูกค้าของเราฉันได้แจกจ่ายกราฟต่อหน้าคุณ โปรดอ่านกราฟนี้กับหัวหน้าทีมของคุณและพัฒนาแผนเพื่อปรับปรุงการบริการลูกค้าของเรา”

ประโยคนี้ผู้พูดต้องการให้ผู้ฟังวิเคราะห์ว่าเรื่องใดที่ควรให้แก้ไขก่อนมากที่สุด เมื่อดูจากรูปภาพจะเห็นว่า สิ่งที่ทำให้ลูกค้าไม่พอใจมากที่สุด 37% คือเรื่อง Overate charges

ดังนั้นสิ่งที่ผู้นำทีมต้องไปจัดการคือเรื่องของ (A) วิธีจัดการกับลูกค้าที่ไม่พอใจจากการเรียกเก็บเงินมากเกินไป

คำตอบที่ถูกต้องคือ (A) How to deal with customers being upset by overcharges

What is the goal for Monster Telecom?
(A) Reduce the number of dropped calls
(B) Expand their coverage area
(C) Add new cellular phone options
(D) Reduce the number of customer calls they receive by 50%

เป้าหมายของ Monster Telecom คืออะไร? 
(A) ลดจำนวนสายที่โทรออก 
(B) ขยายพื้นที่ครอบคลุม 
(C) เพิ่มตัวเลือกโทรศัพท์มือถือใหม่ 
(D) ลดจำนวนการโทรของลูกค้าที่พวกเขาได้รับ 50% 
คำตอบที่ถูกต้องอยู่ในประโยค We aim to have half as many weekly calls by then.

แปลว่า “เราตั้งเป้าหมายว่าการโทรเข้ามาแจ้งความไม่พอใจจะลดลงครึ่งนึง”

ใจความประโยคนี้คือ การลดลงของการโทรเข้ามาของลูกค้า ครึ่งนึง หรือ 50% ของจำนวณการโทรทั้งหมด

ตัวเลือกที่ตรงกับใจความนี้คือ (D) ลดจำนวนการโทรของลูกค้าที่พวกเขาได้รับ 50%

คำตอบที่ถูกต้องคือ (D) Reduce the number of customer calls they receive by 50%

Hello everyone, I wanted to get you together to go over the recent failures in our customer service department here at Monster Telecom. As you know, customer service is at the heart of everything we do. We receive on average 3,000 calls per week from customers with a wide range of needs.  In order to prepare you all to handle the most frequently asked questions from our customers, I have distributed the graph in front of you. Please go over this graph with your team leader and develop a plan to improve our customer service. Next quarter’s reviews will be in two months. We aim to have half as many weekly calls by then.

ประเภทของคำถาม

โจทย์ในพาร์ทนี้จะมีลักษณะคำถามที่แบ่งได้ หลักๆ สองแบบคือ

  1. ถามเนื้อหาที่อยู่ในบทสนทนา
  2. ถามว่าทำไม ผู้พูด ถึงพูดประโยคนี้
  3. ถามข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ …

คำถามถามเนื้อหาที่อยู่ในบทสนทนา

โจทย์เองก็จะแบ่งเป็นอีกสองลักษณะ แบบแรกคือ คำถามที่มีคำตอบ(หรือตัวเลือก) เป็นประโยค หรือคำศัพท์เดียวกับที่ใช้ในบทสทนาครับ พูดง่ายๆ ก็คือบทพูด พูดว่าอะไร ตัวเลือกก็เป็นคำเดียวกัน เป็นประโยคเดียวกัน เลือกตอบได้เลย

ตัวอย่างเช่น โจทย์ถามว่า “What is the listener asked to double-check?” แล้วคำตอบในบทพูดคือ “Most importantly, I would like you to make sure that the proper price tags are displayed in front of their corresponding products.”

ในบทพูดบอกตรงๆ แล้วว่า ต้องการใช้เช็คราคาว่าต้องตรงกับสินค้า ดังนั้นเราก็เลือกตอบได้เลยว่าสิ่งที่ต้องการใช้ตรวจสอบคือ “ราคาสินค้าที่ถูกต้อง”

แต่ลักษณะที่ยากนั้นคือ ลักษณะแบบที่สอง ที่ คำศัพท์ หรือประโยคในบทพูดนั้น เป็นคำคนละคำกับในตัวเลือก แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ใจความของความหมายครับ โจทย์แบบนี้ยากขึ้นมาหน่อย ตรงที่เราต้องแปลความหมายได้ทั้งฝั่งเนื้อหาบทพูด และความหมายของตัวเลือก ตัวอย่างเช่น

ตัวอย่างเช่น คำถามคือ “When should the listener contact the speaker?” คำตอบในบทพูดคือ “In the case that a customer ever does get displeased, please let me know right away so I can come and deal with the problem in person.”

จะเห็นได้ว่าในบทพูด ผู้พูดไม่ได้บอกว่าให้ contact แต่ใช้คำว่า Let me know แทน ซึ่งทั้งคู่แปลว่า บอกให้รู้ หรือติดต่อ เห็นไหมครับว่าคำศัพท์คนละคำกัน

จากบทพูดนี้ใจความของความหมายคือ “ถ้าลูกค้าไม่พอใจ ให้ติดต่อกลับมา” ดังนั้น ผู้ฟังจะติดต่อกลับไปหาผู้พูดก็ต่อเมื่อมีลูกค้าที่มีความไม่พอใจ

โจทย์แบบนี้ต้องระวังให้มากๆ ครับ เพราะจะต้องใช้ความเข้าใจในเนื้อหาบทพูด และแปลความหมายของตัวเลือก รวมทั้งเรายังต้องฟังให้เข้าใจ และอ่านให้เข้าใจทันทีอีกด้วย

คำถามถามว่า “ทำไม” ถึงพูดประโยคนี้

สำหรับตัวผมแล้ว โจทย์แบบนี้คือ ยากที่สุด เพราะเราต้องเข้าใจบริบท จริงๆ และต้องใช้เวลาในการคิดถึงว่า “ทำไม” เขาถึงพูดแบบนี้

เหตุผลที่มันยากคือมันใช้เวลาในการคิดครับ หรือบางครั้ง ถ้าเราหลุด ฟังจับใจความไม่ได้นี่คือบ้าย บาย โจทย์ข้อนี้ไปได้เลย

แต่ TOEIC เองก็ไม่ได้ใจร้ายกับเรามาก เพราะโจทย์แบบนี้ไม่ไม่เยอะครับ น้อยๆ ดังนั้นทำไม่ได้ ก็ปลง แล้วรอไปทำข้ออื่นก็ได้ครับ ฮ่าๆ

ถามข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ …

แบบที่ 3 เพื่อนๆ อาจจะงงว่ามันคืออะไร จริงแล้วในโจทย์มักจะถามแบบนี้ครับ “What is indicated about …?” แปลให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ … เช่นจากตัวอย่างข้างบน What is indicated about Monster Telecom? ก็แปลได้ว่า ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ Monster Telecom

วิธีทำโจทย์ข้อนี้ก็หินหน่อยเพราะเราก็ต้องฟัง และจับใจความให้ได้ด้วยว่า ตัวเลือกไหนตรงกับในบทความ และตัวเลือกไหนไม่เกี่ยวกันเลย โจทย์แบบนี้จะมีมากกว่า โจทย์ที่ถามว่าทำไม ครับ ดังนั้นเราอาจต้องระวัง และฝึกฝนเอยอะขึ้นเพื่อไม่ให้พลาด ทำคำถามแบบนี้ไม่ได้นะครับ

สิ่งที่ต้องระวังในการสอบ

พาร์ท 4 มันยาวมากครับ และมันอยู่หลังสุด เรียกได้ว่าเราแทบจะหมดพลังไปแล้วหลังจากผ่านมา 3 พาร์ท

ซึ่ง หนึ่งบทสนทนา โจทย์อีกสามข้อ และพาร์ทนี้มีจำนวนข้อมากที่สุด สิ่งที่ทำให้ผู้สอบไขว้เขว มากที่สุดคือ “สมาธิ” ของผุ้สอบเอง ที่จะหลุดไประหว่างทำข้อสอบครับ

สมาธินั้นหลุดได้ยังไง สาเหตุหลักมาจาก 

  1. อยู่ดีๆ คิดเรื่องอื่นมาในหัว อันนี้ผมเองเป็นบ่อยมากๆ ครับ
  2. ไปกังวลกับโจทย์ข้อที่ผ่านมาแล้ว

คำแนะนำคือที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการนี้คือ

  1. ฝึกทำข้อสอบจริง บ่อยๆ ครับ เพราะจะเป็นการฝึกสมาธิของเราให้เหมือนเราไปสอบจริงๆครับ
  2. ให้คิดเสมอว่า “ผ่านไปแล้ว ผ่านไปเลย” อย่าไปสนใจโจทย์ข้อที่เราผ่านมาแล้วครับ เพราะเราแก้มันไม่ได้แล้ว ไม่ทันแล้ว
  3. ดึงสมาธิกลับมาให้ได้เสมอ พอรู้ว่าเริ่มไม่ได้สนใจกับข้อสอบแล้ว ต้องดึงสติกลับมาให้เร็วที่สุดครับ

เทคนิคการทำข้อสอบ

เทคนิคที่ผมจะแนะนำนั้นแตกต่างกับที่หลายๆ คนเคยให้คำแนะนำไว้ครับ คือ “ให้ฟังบทพูดให้จบก่อน ค่อยไปอ่านโจทย์ครับ”

เหตุผลที่ให้ทำแบบนี้คือ

  1. ถ้าเราไปอ่านโจทย์ก่อน แล้วเราไม่เข้าใจความหมายโจทย์ และตัวเลือก มันจะทำให้เราวอกแวก และสติหลุดได้ครับ
  2. ถ้าเราฝึกฟังให้จบแบบนี้ตั้งแต่แรก สิ่งที่เราจะได้ฝึกฝนคือ การฟังให้เข้าใจ และการจำเนื้อหาของบทพูดครับ ตอนที่ผมฝึกทำแบบนี้ผมรู้สึกได้เลยว่า มันดีกว่าที่จะต้องสลับอ่านโจทย์ไป ฟังไปด้วย
  3. ป้องกันสมาธิหลุด ฟังไม่เข้าใจในบางประโยค ลองนึกดูว่า ถ้าเกิดเราฟังไปด้วย และอ่านโจทย์ไปด้วย แล้วเราดันเจอคำศัพท์ หรือประโยค ที่เราต้องแบ่งสมาธิไปคิดคำแปล มันด้วย สิ่งนี้อาจทำให้เราหลุดจากบทพูดไป และทำให้ต้องเสียคะแนนไป ทั้ง 3 ข้อของโจทย์ได้เลย

ดังนั้นทำอะไรทำทีละอย่าง ฟังก็ฟัง อ่านก็อ่าน พอเราเริ่มคุ้นเคย หรือเก่งขึ้นแล้ว ค่อยพัฒนาเป็น ฟังไปด้วย อ่านไปด้วยนะครับ

3 วิธีฝึกฝนการทำข้อสอบแบบ เพื่อให้ได้คะแนนมากที่สุด

1. ฝึกฟังภาษาอังกฤษให้บ่อยที่สุด

เพราะภาษาเป็นสกิลที่ยิ่งฝึกมาก ยิ่งคุ้นเคยมาก ยิ่งเก่งขึ้นครับ ปัญหาหลักๆ ของคนไทยคือ เราไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษใช้ชีวิตประจำวันกันสักเท่าไหร่ ทำให้เราไม่คุ้นเคย

ผมแนะนำให้เพื่อน หา Podcast ช่อง Youtube ที่สนใจ มาฟังมาดูให้บ่อยที่สุดครับ นอกจากนี้ ซีรี่ย์ หรือหนัง ภาษาอังกฤษก็สามารถเอามาใช้ฝึกได้ครับ ในเว็บ memoread ของเราได้มีบทความแนะนำช่องเอาไว้ฝึกอยู่ครับ ถ้าเพื่อนๆ ยังไม่รุ้ว่าจะเริ่มจากที่ไหน ลองดูที่บทความเหล่นี้ได้ครับ ตามลิสนี้เลย

2. โหลดแอพ MMR TOEIC Listening Practice

โจทย์พาร์ทนี้ทั้งหมด ต้องเน้นการฝึกที่จะทำให้เพื่อนๆ คุ้นเลยกับมัน ฝึกสกิลทั้งการฟัง ฟังให้เข้าใจ เข้าใจแล้วจำได้ จำได้แล้วไปอ่านโจทย์ อ่านโจทย์ให้เข้าใจ พิจารณาว่าคำแปลตัวเลือกไหน ตรงกับเนื้อหาบทความ

ผมแนะนำให้ฝึกบ่อยๆครับ จากแอพนี้

MMR TOEIC Listening Practice แอพนี้ผมหยิบตัวอย่างข้อสอบ TOEIC 2020 มาเป็นตัวอย่างให้กับเพื่อนๆ ในบทความนี้ครับ

เพื่อนๆ คงได้เห็นแล้วว่า ตัวอย่างที่ผมหยิบมานั้น มีสิ่งที่โจทย์มักจะหลอกเราอยู่เสมอ ซึ่งผมกล้าการันตรีได้เลยว่ ถ้าโหลดแอพนี้มาแล้ว เพื่อนๆ จะเหมือนกับได้ซ้อมทำข้อสอบ TOEIC จริงๆ เลยครับ

เพราะว่าข้อสอบแอพนี้ยาก เท่ากับสอบจริง และบทพูดนั้นเหมือนเสียงพูดของสอบจริงมากๆ

ข้อดีของแอพนี้คือ มี Answer Script เฉลยภาษาไทย และอัพเดทข้อสอบใหม่ตลอดเวลา ดังนั้นข้อสอบในแอพจะเป็น ข้อสอบที่ Update สุดๆ รวมถึงรีวิวนั้นดีมาก เพื่อนๆ หลายคนที่ใช้แอพนี้ได้คะแนนไม่ตำ่กว่า 700 คะแนน

  • แอพมีข้อสอบมากกว่า 3000 ข้อ จากข้อสอบมากกว่า 30 ชุด
  • ข้อสอบทุกข้อเป็น ข้อสอบ New TOEIC แบบสอบจริง ทุกข้อ
  • มีเฉลยภาษาไทย
  • อัพเดทข้อสอบใหม่ตลอด
  • ซื้อครั้งเดียวใช้ได้ ตลอดชีพ

3. ฝึกทำข้อสอบจริง ให้เหมือนกับสอบจริง

พาร์ทสี่นี้เป็นพาร์ทที่ ยาวครับ และก่อนจะมาถึงพาร์ท 4 นั้น เราต้องผ่านพาร์ท 1 2 และ 3 มาก่อน ซึ่งมันอาจทำให้เราล้า สมาธิหลุด ดังนั้นสิ่งที่เราต้องฝึกฝนคือ ทำให้ร่ายกายคุ้นเคยกับการที่ต้องนั่งนานๆ ฟังอะไรนานๆ และใช้ความคิดนานๆ ครับ

วิธีที่ดีที่สุดก็คือ เอาข้อสอบจริงมาซ้อมทำนี่แหละ แต่ต้องทำให้เหมือนสอบจริงนะครับ

ความหมายของผมคือ การจดจ่อกับข้อสอบ บทพูดยาวๆ จนจบ ทำโจทย์จบยาวเลย 100 ข้อ ไม่มีการให้ใครมายุ่ง ไม่เล่นโทรศัพท์ อารมเหมือนเรานั่งสอบจริงๆ เลยครับ

ซึ่งเทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่หลายๆ คนใช้ครับ มันช่วยได้จริงๆ แนะนำให้ลองทำสัก สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็พอครับ

ก่อนจากกันไป

จบไปแล้วนะครับ สำหรับ Ebook เตรียมสอบ TOEIC ที่เริ่มตั้งแต่ พื้นฐานแกรมม่า การวิเคราะห์ประโยค และมาอธิบายแต่ละพาร์ทของโทอิค ส่วนตัวผม คิดว่าการอ่านให้รู้จัก TOEIC นั้นแค่นี้ก็พอแล้วครับ ต่อไปเพื่อนๆ สามารถฝึกทำข้อสอบได้เลย ทั้งจากในแอพ และในเว็บครับ

การฝึกทำข้อสอบจะทำให้เพื่อนคุ้นกับข้อสอบ และฝึกฝนทำให้พื้นฐานภาษาอังกฤษดีขึ้นครับ