สรุป If Clause 4 แบบฉบับเข้าใจง่าย พร้อมตัวอย่างการใช้จริง!

Admin

ด้วยความที่รูปแบบประโยคในภาษาอังกฤษนั้นมีความแตกต่างจากภาษาไทยอย่างสิ้นเชิง จึงอาจทำให้หลาย ๆ คนเกิดความสับสนอยู่บ่อย ๆ เมื่อต้องเขียนหรือพูดออกมา โดยเฉพาะโครงสร้างประโยค If Clause หรือประโยคเงื่อนไข ที่มีความซับซ้อน

บทความนี้เรามาพร้อมกับสรุป Conditional Sentences หรือวิธีการใช้ If Clause ฉบับเข้าใจง่าย ที่รับรองว่าอ่านจบแล้ว สามารถใช้ได้แน่นอน!

นักเรียนภาษาอังกฤษกำลังจดสรุปว่า If Clause คืออะไรและมีวิธีการใช้แตกต่างกันอย่างไรทั้ง 4 รูปแบบ

 If Clause คืออะไร?

If Clause หรือ Conditional Sentence คือ ประโยคเงื่อนไข เป็นประโยครูปแบบหนึ่งที่ใช้เพื่อแสดงสมมติฐานว่า ถ้ามีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น จะนำไปสู่ผลลัพธ์ หรือมีเหตุการณ์อื่น ๆ เกิดขึ้นตามมา โดย If Clause ประกอบไปด้วยสองส่วนหลัก:

  • ประโยคเงื่อนไข (If clause) : เริ่มต้นด้วยคำว่า “if” อธิบายถึงสถานการณ์สมมติหรือเงื่อนไขที่อาจเกิดขึ้น
  • ประโยคผลลัพธ์ (Main clause) : อธิบายถึงผลลัพธ์ที่ตามมาหากเงื่อนไขในประโยคเงื่อนไขเป็นจริง
 

ตัวอย่าง:

  • If ฝนตก ฉัน จะไม่ไปสวนสาธารณะ (ประโยคเงื่อนไข: ฝนตก / ประโยคผลลัพธ์: ฉันจะไม่ไปสวนสาธารณะ)
  • If คุณทำงานเสร็จ คุณ จะได้รับรางวัล (ประโยคเงื่อนไข: คุณทำงานเสร็จ / ประโยคผลลัพธ์: คุณจะได้รับรางวัล)
 

 สรุปการใช้ If Clause 4 แบบ ฉบับเข้าใจง่าย

ถ้าใครกำลังรู้สึกสับสน เราได้ทำการสรุปหลักการใช้ If Clause ฉบับเข้าใจง่ายมาฝากทั้ง 4 รูปแบบ มาดูกันเลย!

  แบบที่ 0

ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริง เกิดขึ้นเป็นประจำ เป็นกฎธรรมชาติ เป็นกฎวิทยาศาสตร์ หรือใช้พูดถึงกรณีถ้าเกิดสิ่งหนึ่ง ก็จะต้องเกิดอีกสิ่งเสมอ

  • โครงสร้าง: If + [Present simple tense], [Present simple tense] หรือ If + [Subject+V1], [Subject+V1]
  • ตัวอย่าง:
    • If you mix red and blue, you get purple. (ถ้าคุณผสมสีแดงกับสีน้ำเงิน คุณจะได้สีม่วง)
    • If you eat too much, you get sick. (ถ้าคุณกินมากเกินไป คุณจะป่วย)
 

  แบบที่ 1

ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน ถ้าหากเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น อีกเหตุการณ์หนึ่งก็มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น

  • โครงสร้าง: If + [Present simple tense], [Future simple tense] หรือ If + [Subject+V1], [Subject+will+V.inf]
  • ตัวอย่าง:
    • If you study hard, you will get good grades. (ถ้าคุณตั้งใจเรียน คุณจะได้คะแนนดี)
    • If I have time, I will visit you. (ถ้าฉันมีเวลา ฉันจะไปหาเธอ)
 

  แบบที่ 2

 ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่สมมุติขึ้นมา หรือเป็นเรื่องตรงข้ามกับความเป็นจริงในปัจจุบัน ประโยคเงื่อนไขแบบนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริง

  • โครงสร้าง: If + [Past simple tense], + [would +V.inf] หรือ If + [Subject+V2], [Subject + would +V.inf]
  • ตัวอย่าง:
    • If I had a million dollars, I would buy a house. (ถ้าฉันมีเงินหนึ่งล้านดอลลาร์ ฉันจะซื้อบ้าน)
    • If I could fly, I would travel the world. (ถ้าฉันบินได้ ฉันจะเดินทางไปทั่วโลก)
 

  แบบที่ 3

ใช้แสดงถึงเหตุการณ์ที่อาจเป็นไปได้ในอดีต แต่กลับไม่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่มักบ่งบอกถึงความรู้สึกเสียใจหรือรู้สึกผิด เนื่องจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูด

  • โครงสร้าง: If + [Past perfect tense], [would have] + [Past participle] หรือ If + [Subject + had + V3] + [would have] + [V3]
  • ตัวอย่าง:
    • If I had studied harder, I would have gotten a better grade. (ถ้าฉันตั้งใจเรียนมากกว่านี้ ฉันคงได้คะแนนดีกว่านี้)
    • If I had known you were coming, I would have cooked dinner. (ถ้าฉันรู้ว่าเธอจะมา ฉันคงทำอาหารเย็นไว้)
นักเรียนกำลังทำความเข้าใจว่า If Clause คืออะไร เพื่อเตรียมตัวสอบ TOEIC
จากวิธีใช้ If Clause เหล่านี้ จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าหน้าตาของ If Clause จะชวนให้สับสน แต่ความจริงแล้วถ้าหากเราได้ฝึกสร้างประโยคบ่อย ๆ และลองนำประโยคเหล่านี้ไปใช้ในชีวิตจริง ก็จะช่วยให้เราเข้าใจและจำได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน   ซึ่งนอกจากเคล็ดลับการใช้ If Clause ที่เราสรุปมาฝากกัน หากใครที่กำลังเตรียมตัวสอบ TOEIC สามารถแวะมาฝึกทำข้อสอบได้เลยที่ Memmoread เว็บฯ รวมตัวอย่างข้อสอบ TOEIC พร้อมเฉลยมากกว่า 10,000 ข้อ มีทั้ง Listening Test และ Reading Test อัปเดตใหม่ทุกอาทิตย์ ช่วยเพิ่มความมั่นใจก่อนลงสนามสอบจริงได้แน่นอน!