TOEIC คะแนนเต็มเท่าไร และต้องได้กี่คะแนนถึงจะถือว่าผ่าน

Admin

การสอบ TOEIC (Test of English for International Communication) เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่คนหางานและผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษสำหรับการทำงาน ทั้งนี้ หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับการสอบก็คือ TOEIC คะแนนเต็มเท่าไร และต้องได้เยอะแค่ไหนถึงจะถือว่าดี บทความนี้จะมาไขข้อสงสัย ด้วยการอธิบายเกณฑ์คะแนน TOEIC แบบแบ่งตามระดับ และแนะนำแนวทางในการเตรียมตัวสอบ TOEIC ให้ได้คะแนนดี

ระดับคะแนน TOEIC ที่ควรได้ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้คะแนน

TOEIC คะแนนเต็มเท่าไร ? พร้อมเกณฑ์คะแนน TOEIC แต่ละระดับ

TOEIC มีคะแนนเต็มทั้งหมด 990 คะแนน โดยเกณฑ์คะแนนในแต่ละระดับ จะทำให้ผู้สอบรู้ว่า เรามีทักษะภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร โดยสามารถแบ่งระดับคะแนน TOEIC ได้ดังนี้

  • 905 – 990 คะแนน (91% – 100%) : International Professional Proficiency หรือ ผู้สอบมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษในระดับมืออาชีพ สามารถสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วในทุกสถานการณ์
  • 785 – 900 คะแนน (79% – 90%) : Working Proficiency Plus หรือ มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษสำหรับการทำงานในระดับดีมาก
  • 605 – 780 คะแนน (61% – 78%) : Limited Working Proficiency หรือ มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษในที่ทำงานได้ดีระดับหนึ่ง แต่อาจมีข้อจำกัดบางประการ
  • 405 – 600 คะแนน (41% – 60%) : Elementary Proficiency Plus หรือ มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับดี สามารถสื่อสารในชีวิตประจำวันได้
  • 255 – 400 คะแนน (26% – 40%) : Elementary Proficiency หรือ มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับพอใช้ สามารถสื่อสารประโยคง่าย ๆ ได้
  • 10 – 250 คะแนน (0% – 25 %) : Basic Proficiency หรือ มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน สามารถสื่อสารได้บางคำ

ต้องได้ระดับคะแนน TOEIC เท่าไรจึงจะดี ?

ปกติแล้ว การสอบ TOEIC จะไม่มี “ผ่าน” หรือ “ไม่ผ่าน” ทว่าแต่ละบริษัทหรือสถานศึกษาที่ต้องใช้คะแนนนี้ จะมีการกำหนดว่าผู้สมัครต้องมีเกณฑ์คะแนน TOEIC อยู่ในระดับไหน โดยส่วนมาก ถ้าอยู่ในระดับ “Limited Working Proficiency” หรือ 605 คะแนนขึ้นไป จึงจะถือว่าเป็นช่วงคะแนนที่แข่งขันได้

รูปแบบข้อสอบ TOEIC ในปัจจุบัน

ข้อสอบ TOEIC แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ Listening และ Reading พาร์ตละ 495 คะแนน รวม 200 ข้อ โดยมีรูปแบบข้อสอบดังนี้

  • (Listening) Photographs 6 ข้อ
  • (Listening) Question-Response 25 ข้อ
  • (Listening) Conversations 39 ข้อ
  • (Listening) Short Talks 30 ข้อ
  • (Reading) Incomplete Sentences 30 ข้อ
  • (Reading) Text Completion 16 ข้อ
  • (Reading) Reading Comprehension 54 ข้อ
การฝึกทำข้อสอบ เป็นเทคนิคการทำข้อสอบ TOEIC ให้ได้คะแนนดี

เทคนิคสอบ TOEIC ให้ได้คะแนนดี

กำหนดเป้าหมายคะแนนที่ต้องการให้ชัดเจน

การกำหนดเป้าหมายคะแนน TOEIC ที่ต้องการให้ชัดเจนนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะเป็นแรงผลักดันให้คุณมีแรงบันดาลใจและทุ่มเทในการเตรียมตัวสอบมากขึ้น โดยควรพิจารณาจากจุดประสงค์ในการใช้คะแนน เช่น หากต้องการสมัครงาน ก็อาจตั้งเป้าคะแนนไว้ที่ระดับ Working Proficiency Plus เพื่อให้อยู่ในช่วงที่ปลอดภัยและแข่งขันได้

ฝึกตัดชอยส์

การฝึกตัดชอยส์ เป็นเทคนิคที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสอบ TOEIC ให้ได้คะแนนดียิ่งขึ้น วิธีการคือ เมื่ออ่านคำถามแล้ว ให้พิจารณาตัวเลือกทีละข้อ หากอ่านตัวเลือกแล้วแน่ใจว่าผิด ก็ให้ขีดฆ่าทิ้งไปเลย แต่หากไม่แน่ใจว่าผิดหรือถูก ก็ให้เก็บไว้ก่อน แล้วค่อยพิจารณาข้อถัดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเหลือข้อที่น่าจะถูกที่สุดเพียงข้อเดียว

พยายามทำข้อสอบให้ครบทุกข้อ

การสอบ TOEIC จะไม่มีการหักคะแนนสำหรับคำตอบที่ผิด ดังนั้น การเดาคำตอบในข้อที่ไม่แน่ใจจึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย แนะนำให้ทำข้อสอบให้ครบทุกข้อ โดยใช้เทคนิคการตัดชอยส์จากที่กล่าวไปด้านบน

อ่านและคาดเดาคำตอบไว้ล่วงหน้า

เทคนิคนี้ใช้ได้ดีมากในพาร์ต Reading กล่าวคือ ผู้สอบควรอ่านคำถามก่อนที่จะอ่านเนื้อเรื่องหรือบทความ เพื่อที่จะได้รู้ว่าต้องมองหาคำตอบในประเด็นไหน จากนั้นจึงอ่านเนื้อเรื่องอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องละเอียด แต่พยายามจับประเด็นหลักและรายละเอียดสำคัญ ๆ ให้ได้ นอกจากจะเพิ่มโอกาสในการตอบถูกแล้ว ยังช่วยประหยัดเวลาได้ด้วย

จับเวลาทำ Reading อย่างเคร่งครัด

คนสอบ TOEIC หลายคนมักพลาดท่าให้กับพาร์ต Reading ที่ใช้เวลาเยอะมาก เพราะต้องอ่านบทความยาว ๆ แล้วตอบคำถาม ดังนั้น การเซฟเวลาในส่วนนี้ได้จะช่วยประหยัดเวลาในการทำข้อสอบได้เยอะ เพราะฉะนั้นก่อนสอบ แนะนำให้บริหารจัดการเวลาให้ดี โดยกำหนดเวลาทำแต่ละพาร์ตให้ตนเองอย่างเคร่งครัด เช่น อาจใช้เวลา 8-10 นาทีสำหรับ Incomplete Sentences 15 นาทีสำหรับ Text Completion และเวลาที่เหลือสำหรับ Reading Comprehension

เริ่มทำพาร์ตสุดท้ายก่อน เนื่องจากเป็นพาร์ตที่ยาวและยากที่สุด

อย่างที่บอกว่า Reading คือพาร์ตที่คนส่วนใหญ่ใช้เวลาทำมากที่สุด ดังนั้น ให้เริ่มจากการทำพาร์ตนี้ก่อน แล้วค่อยเอาเวลาที่เหลือไปทำพาร์ตอื่น ๆ ซึ่งจะสามารถควบคุมเวลาได้ดีกว่า เพิ่มโอกาสในการทำข้อสอบให้ทัน อีกทั้งยังช่วยลดความเครียดและความกดดันในช่วงใกล้หมดเวลาด้วย

ศึกษาคำศัพท์ใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ

อีกหนึ่งเทคนิคสำคัญคือการหมั่นศึกษาคำศัพท์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ เนื่องจากการสอบ TOEIC จะมีข้อที่เกี่ยวข้องกับคำศัพท์ ทั้งในพาร์ตของการฟังและการอ่าน ยิ่งรู้ศัพท์มากเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการสอบ TOEIC ให้ได้คะแนนดีมากเท่านั้น โดยสามารถโหลดคำศัพท์ TOEIC มาฝึกท่องได้จากเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน Memmoread เลย

ฝึกฝนการทำข้อสอบและแบบฝึกก่อนไปสอบจริงให้ได้เยอะที่สุด

การฝึกทำข้อสอบ TOEIC ก่อนไปสอบจริงจะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับรูปแบบข้อสอบมากขึ้น โดยสามารถโหลดข้อสอบ TOEIC ได้จากเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน Memmoread ซึ่งมีรูปแบบและระดับความยากใกล้เคียงกับข้อสอบจริง ทำให้คุณเข้าใจลักษณะของคำถาม เทคนิคในการตอบข้อสอบ และการจัดการเวลาได้ดีขึ้น

สรุปแล้ว ระดับคะแนน TOEIC ที่ถือว่าแข่งขันได้ เพิ่มโอกาสในการสมัครงานหรือสมัครเรียนต่อให้ผ่านฉลุยนั้น ขึ้นอยู่กับตำแหน่งงาน บริษัท หรือสถาบันที่แต่ละบุคคลสมัครไป ส่วนสำหรับใครที่กำลังมองหาข้อสอบ TOEIC เพื่อมาฝึกทำ ที่ Memmoread มีแบบฝึกหัด TOEIC มากกว่า 10,000 ข้อ พร้อมเฉลยอย่างละเอียด รวมถึงข้อสอบ TOEIC ทั้ง Listening และ Reading ที่อัปเดตใหม่ทุกสัปดาห์ พร้อมคิดคะแนน TOEIC ให้คุณรู้เกณฑ์ของตนเอง เพื่อที่จะได้เตรียมตัวสอบอย่างตรงจุดยิ่งขึ้น เริ่มเตรียมตัวสอบ TOEIC ได้แล้ววันนี้เพื่อให้ได้คะแนนสูงสุดตามเป้าหมาย !

 

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Test Format / Score Scale. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2567. จาก https://cpathailand.co.th/toeic-program/toeic-listening-reading-test-format-and-score-scale/