Success story

รีวิวสอบ Toeic 2022 ครั้งแรก คะแนนที่ได้คือ 920 ใช้เวลาเตรียมตัวแบบจริงจังสุดๆ 3 สัปดาห์

920-Gior-Panpicha

รีวิวสอบ Toeic 2022 ครั้งแรก

คะแนนที่ได้คือ 920 ใช้เวลาเตรียมตัวแบบจริงจังสุดๆ 3 สัปดาห์ค่ะ

ขอบคุณเจ้าของเฟสบุ๊ค Gior Panpicha

รีวิวสอบ Toeic 2022 ครั้งแรก คะแนนที่ได้คือ 920 ใช้เวลาเตรียมตัวแบบจริงจังสุดๆ 3 สัปดาห์

รีวิวสอบ Toeic ครั้งแรกค่ะ✨ คะแนนที่ได้คือ 920 จากที่หวังไว้ 850 ไม่เกินนี้ ใช้เวลาเตรียมตัวแบบจริงจังสุดๆ ~3 สัปดาห์ค่ะ
No คอร์สเรียน No youtube No คนติวค่ะ

ชีวิตประจำวันเราไม่ได้คลุกคลีกับภาษาอังกฤษนะคะ ไม่ได้เรียนอินเตอร์ แต่พอมีพื้นฐานการฟังทั่วไปจากการดูหนัง soundtrack (บางเรื่องที่ดูบ่อยๆ จะไม่เปิดซับไทย เปิดซับอังกฤษแทน) และพื้นฐาน grammar ค่อนข้างอ่อนเพราะไม่ได้ใช้เลยค่ะ

🐹 การเตรียมตัวสอบ

– พาร์ท Reading

เราไม่ได้ลงคอร์สหรือดู youtube นะคะ เราไปรีวิว grammar มาแบบเร็วๆ (เพราะขี้เกียจอ่านค่ะ 😅) โดยก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่า grammar มีหัวข้ออะไรบ้าง แล้วเสิร์ชกูเกิ้ลตามหัวข้อนั้นๆ เลยค่ะ เราใช้เวลาเรียนรู้ตรงนี้ประมาณ 3 วัน พอรู้ concept แต่ละหัวข้อปุ้บ ก็ฝึกทำข้อสอบจาก memmoread ทุกชุดที่แอดมินแจก ปกติแล้วในเว็บจะมีเฉลยให้ แต่เราตัดสินใจโหลดแอพ memmoread reading มาด้วยเพื่อดูเฉลยแบบละเอียด เพราะเราอยากรู้และเข้าใจว่าทำไมเราถึงผิด ทำไมเราถึงถูกในกรณีที่เดา ระหว่างฝึกทำพาร์ทนี้ อย่าลืมจับเวลาด้วยนะคะ สำคัญมากค่า ⏳


– พาร์ท Listening
เราไม่ได้ฝึกฟังวิทยุหรือข่าวภาษาอังกฤษค่ะ เราอาศัยฝึกฟังจากข้อสอบเลย เพราะเราไม่อยากเสียเวลาฝึกการฟังค่ะ ตรงนี้แล้วแต่คนนะคะ

🐹 การฝึกทำข้อสอบ (~20 ชุด)

ควรฝึกทำในกระดาษคำตอบจริง และไม่ขีดเส้นใต้ใดๆ ลงบนข้อสอบค่ะ สอบจริงเค้าไม่อนุญาตให้ขีดเขียนลงบน Test book

– พาร์ท Reading


Part 5 : ควรอ่านแล้วตอบทันที อย่าคิดนาน อย่าลังเลค่ะ แรกๆ เราเสียเวลาไปกับพาร์ทนี้เยอะ เพราะจับจุดไม่ได้ หลังๆ เริ่มรู้ค่ะว่าควรทำยังไงให้ไม่เสียเวลา โดยเราจะอ่านทั้งประโยคก่อน บางทีก็อ่านครึ่งประโยคแล้วตอบเลย สำคัญคือต้องรู้ว่าอะไรในประโยคหายไป ตรงนี้จะได้เปรียบมากค่ะถ้าใครรู้ prefix-suffix เพราะเราจะแยกประเภทของคำนั้นออกโดยไม่ต้องจำหรือรู้ความหมายคำศัพท์เลย

Part 6 : พาร์ทนี้จะถามเรื่อง tense กับ verb บ่อยค่ะ เราเน้นอ่านเฉพาะประโยคที่ให้เติมคำในช่องว่าง ถ้า verb หาย ก็ตอบเลย หรือถ้าถาม tense แนะนำให้อ่านประโยคด้านหน้าหรือด้านหลังประกอบไปด้วยค่ะ เผื่อมีตัวบอกเวลามาจะได้รู้ว่าตรงนี้คืออดีตหรือปัจจุบันหรืออนาคต โดยพาร์ทนี้สามารถทำผ่านสบายๆ โดยไม่ต้องอ่านทั้งบทความก็ได้ค่ะ เน้นจับใจความ หากบทความไหนเราเชื่อมโยงไม่ได้ เราถึงจะอ่านทั้งบทความค่ะ

Part 7 : พาร์ทนี้ใครไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ หรืออ่านช้า ควรฝึกเยอะๆ ค่ะ เพราะมันอาศัยความอดทนและความเร็วในการอ่าน เราเป็นคนนึงที่ไม่ชอบอ่านบทความยาวๆ เพราะตัวหนังสือมันลอยค่ะ เราโฟกัสไม่อยู่ 🥲 ซึ่งพาร์ทนี้ ต้องตั้งสติแล้วอ่าน เมื่ออ่านแล้วควรเข้าใจภายในรอบแรกค่ะ เราจะแสกนไปด้วยว่า “ใคร ทำอะไร เมื่อไหร่ มีคนในนี้กี่คน” จากนั้นไปดูคำถาม แล้วกลับไปอ่านตรงที่มันถาม เราทำแบบนี้แล้วประหยัดเวลามากกกค่ะ ในกรณีถ้ารอบแรกอ่านบทความ+อ่านคำถามแล้วยังไม่เข้าใจว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร หรือจับใจความไม่ได้ เราต้องฮึบตั้งสติแล้วอ่านใหม่อีกรอบค่ะ
ปล. ถ้ามีอีเมลล์มาให้อ่าน แนะนำอ่านชื่ออีเมลล์คนส่ง-คนรับ ไว้ก่อนค่ะ จะได้รู้ว่าใครทำงานที่ไหน ในกรณีที่โจทย์ถามว่าคนนี้เป็นใคร ก็สามารถไม่ต้องอ่านในบทความอีกรอบได้ค่ะ

🌻 เวลาที่ใช้ในการทำพาร์ทนี้ part 5+part 6 ไม่เกิน 15 นาที ที่เหลือเทให้ part 7


🌻 ปกติแล้วหลังจากฝึกทำพาร์ท Reading เสร็จ เราจะรีวิวคำศัพท์ที่เราไม่รู้จักในแต่ละชุดข้อสอบด้วยค่ะ

– พาร์ท Listening

Part 1 : ดูรูปภาพแล้วแสกนเลยค่ะว่าในรูปมีอะไรบ้าง เพราะบางทีรูปภาพอาจแสดงว่ามีคนคุยกันอยู่ แต่คำตอบคือผู้หญิงกำลังเดินอยู่ริมถนน ซึ่งเราควรรู้ทันค่ะว่าภาพนี้สามารถมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นได้บ้าง

Part 2 : เป็นการคุยโต้ตอบกันแบบสั้นๆ ค่อนข้างชัดเจนและง่ายค่ะ ส่วนตัวเราบางทีก็ฟังไม่ทันทั้งประโยค แต่รู้ว่าเค้าถามอะไร เช่น who where when how แล้วฟังคำตอบว่าเข้ากับคำถามมั้ย ซึ่งเป็นการเดาที่มีเปอร์เซ็นต์ตอบถูกสูงค่ะ 55555 ทั้งนี้ทั้งนั้น หากไม่มีปัญหากับการฟังคนพูดเร็วเข้าขั้นรุนแรง พาร์ทนี้สบายบรื๋อค่ะ เก็บเต็มได้

Part 3 : เป็นพาร์ทที่สนุกค่ะ ฟังเพลินๆ แต่บางครั้งก็ทรมานเพราะเราอยากให้เค้าคุยกันเสร็จเร็วๆ 55555 ก่อนเริ่มทำพาร์ทนี้ คนพูดจะพูดเกริ่นประมาณ 30 วินาที ในระหว่างนี้เราจะอ่านคำถามคำตอบของ conversation แรกก่อน เพื่อเป็นการแสกนโจทย์ และรู้ตำแหน่งของคำตอบไปด้วย ซึ่งเราจะฟังและตอบไปพร้อมๆ กัน หากใครไม่สามารถ ควรฟังให้จบก่อนนะคะ ที่เราทำแบบนี้เพราะเราชอบลืมค่ะว่าเค้าคุยอะไรกันไป 🥹 พอผู้พูดพูดจบ เราจะฝนคำตอบให้เสร็จภายในเวลาที่ผู้พูดพูดคำถามข้อแรก จากนั้นไปอ่านโจทย์ conversation ถัดไปเลยค่ะ เราทำแบบนี้ตลอดทั้งพาร์ท และระวังอย่าสติหลุดค่ะ ถ้าเผลอหลุดจริงๆ ก็พอเดาจาก keyword หรือช่วงท้ายของ conversation ได้อยู่ แต่เราจะไม่เดามั่วนะคะ นอกจากหลุดแล้วฟังอะไรไม่ทันเลยจริงๆ

Part 4 : long conversation เหมือนกันค่ะแต่มีผู้พูดคนเดียว อารมณ์เหมือนฟังวิทยุหรือประกาศตามสถานที่ต่างๆ ค่อนข้างง่ายมากเทียบกับพาร์ทที่แล้ว หลักการทำข้อสอบก็เหมือนกันเลยค่ะ

🌻 Part 3 และ Part 4 จะมีรูปมาด้วยตอนข้อท้ายๆ บางทีก็พูดคำตอบออกมาตรงๆ บางทีก็พูดไม่ตรงกับคำตอบในรูปภาพ ระวังอย่าโดนหลอกค่ะ


🌻 ไม่ควรใช้หูฟังในการฝึก ควรเปิดลำโพงเพื่อให้เกิดความคุ้นชินค่ะ

🐹 ตอนสอบจริง

1. ควรไปก่อนเวลาสอบประมาณ 1-1.30 ชั่วโมงค่ะ เผื่อเวลา check-in เก็บของสัมภาระลงกระเป๋าให้หมด พกของไปน้อยๆ ค่ะ ต้องตัวเปล่าเข้าห้องสอบ เค้ามีดินสอ ปากกา และยางลบให้ใช้ค่ะ อย่าลืมเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยด้วยนะคะ


2. ระหว่างรอสอบ ผู้คุมสอบจะเปิดเทสเสียงลำโพง ให้เรานั่งสบายๆ ไม่กดดันตัวเองนะคะ ทำเหมือนตอนฝึกทำข้อสอบอยู่บ้านค่ะ 💖


3. จะเริ่มทำจากพาร์ท Listening ก่อน ห้ามแอบทำ Reading ก่อนนะคะ ทุกคนจะทำข้อสอบไปพร้อมๆ กัน ส่วนลำโพงเสียงดังฟังชัดมากค่ะ ตอนทำข้อสอบ เราแอบฟังไม่ทันเยอะกว่าตอนอยู่บ้านเพราะหลุดบ่อย ;-;


4. เสร็จ Listening ปุ้บ เค้าจะให้เราทำ Reading ต่อทันทีค่ะ ถ้าปวดมือจากการฝน ให้สะบัดๆ มือพอหายเมื่อยแล้วลุยต่อเลยค่ะ!! พาร์ทนี้จะต่างจากตอนทำที่บ้านเพราะตอนเราจับเวลา เราตั้งเวลาแล้วเริ่มจาก 1h 15m ไม่ได้ฝึกจับกับเวลาจริง เช่น เริ่ม 12:00 จบ 13:15 ทำให้เราต้องเงยหน้าไปมองนาฬิกาบ่อยๆ คำนวนในหัวว่าเวลากี่โมงจะต้องทำถึงข้อนั้นข้อนี้แล้ว เราพยายามให้ทุกอย่างอยู่ในเวลาที่เรากำหนดค่ะ ข้อไหนทำไม่ได้ ให้ทำไปก่อนค่ะ มีเวลาค่อยกลับมาอ่านหรือแก้อีกรอบได้ อย่างน้อยฝนคำตอบไปดีกว่าไม่มีคำตอบค่ะ


5. เราทำ Reading เสร็จก่อนเวลาหมด 10 นาที เราเลยมีเวลาย้อนกลับไปดูข้อที่เราอ่านจับใจความไม่ได้อีกรอบ และเช็คกระดาษคำตอบว่าเราฝนตรงข้อมั้ย มีข้อไหนลืมฝนมั้ย ซึ่งเราลืมฝนจริงๆ ค่ะ เกือบแล้ว 😅 เพราะฉะนั้นควรทำเสร็จก่อนเวลาสักนิดนึงเพื่อตรวจความเรียบร้อยของกระดาษคำตอบก็ยังดีค่ะ


6. หมดเวลาทำข้อสอบแล้วต้องวางดินสอทันที ไม่แอบฝนต่อนะคะ เพราะถือว่าทุจริต


สุดท้ายนี้เป็นกำลังใจให้คนที่กำลังจะไปสอบนะคะ ตอนแรกเรากลัวการสอบ Toeic มากค่ะ ;-; เราห่างจากภาษาอังกฤษไปค่อนข้างนาน แม้จะเพิ่งเรียนจบก็ตาม การไม่ได้ใช้บ่อยๆ ทำให้พื้นฐานเราไม่แน่นค่ะ เราแยกไม่ออกแม้แต่ คำนาม Adj ไม่รู้ Tense ด้วยซ้ำ แต่คนเราฝึกฝนกันได้ การเรียนรู้และฝึกทำข้อสอบเยอะๆ ช่วยให้เรามีทักษะ แถมชินกับข้อสอบและไม่ตื่นเต้นกับตอนสอบจริงเลย ในใจเราอยากให้สอบเสร็จเร็วๆ ด้วยซ้ำค่ะเพราะตอนสอบหิวข้าวมาก 🥹 สู้ๆ นะคะ!! 💖

สรุป

Test score ทำที่บ้าน :
Listening เฉลี่ย 91/100 ≈ 485
Reading เฉลี่ย 82 /100 ≈ 375
รวม 860 (คะแนนจริง 920)

กดที่สองปุ่มนี้เพื่อไปโหลดข้อสอบฟรีได้เลยครับ

อ่านโพสต้นฉบับ

920-Gior-Panpicha-score-paper
Facebook
Twitter